ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 425 จิตรกรรมฝาผนังที่แปลกประหลาด
บทที่ 425 จิตรกรรมฝาผนังที่แปลกประหลาด
บทที่ 425 จิตรกรรมฝาผนังที่แปลกประหลาด
“เช่นนั้นปิดกั้นสถานที่แห่งนี้ไว้ก่อน แล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญจากกองเรือมาศึกษาซากปรักหักพังเหล่านี้ภายหลัง”
หลังจากเดินไปรอบ ๆ ซากปรักหักพังอีกครั้ง เจียงหลานก็ออกคำสั่งกับเหล่าเซียน
“ขอรับ ท่านผู้หญิง”
หลังจากเหล่าเซียนรับคำสั่ง เจียงหลานเห็นไป๋ชิวหรานยืนจับจ้องสถานที่ห่างไกลออกไปอย่างเคร่งขรึม
“ชิวหราน มีสิ่งใดหรือ?”
นางเดินไปหาไป๋ชิวหรานก่อนจะหันมองตามไปในทิศทางเดียวกัน
สุดสายตาคือเสาที่มีลวดลายบางอย่างวาดเอาไว้อย่างคลุมเครือ ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตสามตา ยืนอยู่ด้วยกันกับกลุ่มสิ่งมีชีวิตศีรษะแหลมที่ร่างกายส่วนล่างไม่มีขา หากเลื่อนสายตาไปเหนือพวกมันจะเห็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่อ้าปากเผยให้เห็นซี่ฟันเรียงกันยาว และกรงเล็บที่น่าหวาดหวั่น รูปร่างของมันเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
“ไม่มีอะไร” เมื่อได้ยินเสียงของเจียงหลาน ไป๋ชิวหรานก็ละสายตาออกจากเสา “ก็แค่ภาพจิตรกรรมฝาผนัง บางทีข้าอาจจะคิดมากเกินไปจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่สำคัญซุกซ่อนอยู่ในนั้น อธิบายไม่ถูกเช่นกัน แต่ข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติไปสักหน่อย”
“แล้วเจอสิ่งผิดปกติหรือไม่?”
เจียงหลานกล่าวถาม
“ไม่เลย”
ไป๋ชิวหรานกางมือ
“เพราะข้าไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์และอารยธรรมเหล่านี้ หากมองเห็นความผิดปกติ ข้าก็ไม่ใช่คนแล้ว”
“งั้นหรือ?”
เจียงหลานยิ้ม
“ไปกันเถิด เดี๋ยวผู้เชี่ยวชาญจะเข้ามาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ พวกเขาย่อมสืบทราบถึงอารยธรรมทั้งหมดแน่นอน พวกเราไม่ควรกังวล… กลับไปพักผ่อนที่เรือก่อนดีกว่า”
“อืม”
…
เมื่อไป๋ชิวหรานและพวกพ้องออกจากโลกวัตถุและกลับสู่เขตแดนจิตสำนึกที่ภายนอก กองเรือบินที่เหล่าเซียนออกสำรวจก็กลับมารวมตัวกันในแดนเซียนงดงาม ด้านบนของเมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยลำแสงเปล่งประกายจากเหล่าเซียนดูยิ่งใหญ่ตระการตา
เรือเหาะที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ อยู่ยังถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญแสนสง่างามของเมืองหลวง ถูกรายล้อมอารักขาด้วยเรือรบสามลำ และเรือสำหรับโดยสารอีกเก้าลำ
นอกจากนี้ยังมีโรงสร้างเรือรบภายในเมืองหลวงอีกด้วย ตราบใดที่มีวัสดุถูกจัดส่งมาจากแดนเซียน เมืองเซียนเหล่านี้ก็จะสามารถผลิตเรือรบได้อีกลำภายในหนึ่งเดือน
นี่คือวัสดุที่หลงเหลือจากการขยายความยิ่งใหญ่ของแดนเซียน นอกจากไป๋ลี่ที่ถูกเข้าสู่สภาวะจำศีลหลังจากการพัฒนา ก็มีเพียงแดนเซียนกลางเท่านั้นที่มีสิทธิ์ระดมกองยานรบเหล่านี้ แม้แต่จักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศเก่าก่อนยังหวาดกลัว และนี่คือหนึ่งในอำนาจของเชื้อสายจักรพรรดิ
หลังจากที่เหล่าเซียนผลิตเรือรบใหม่ออกมา ยานรบเหล่านี้จะไปสู่อีกโลกหนึ่ง เพื่อขยายและก่อตั้งอาณานิคมจนกลายเป็นเมืองเซียน ในเวลานั้นกองกำลังของแดนเซียนจะสามารถขยายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากหนึ่งเป็นสองเท่าอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่… ตราบใดที่มีวัตถุเพียงพอ เหล่าเซียนจากแดนเซียนจะสามารถกวาดล้างอาจารย์อสูรที่อยู่อีกฝั่งกำแพงได้อีกในไม่ช้า
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าเซียนจะนำวัสดุจำนวนมากออกมาในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือต่อให้เป็นไปได้ ก็ไม่อาจขนส่งผ่านเส้นทางเล็ก ๆ นี้ได้ อีกทั้งหากเป็นเช่นนั้น วัสดุที่จำเป็นเหล่านั้นคงจะต้องถูกค้นหาโดยเหล่าเซียนภายในโลกวัตถุของเขตแดนจิตสำนึกอาจารย์อสูรเหล่านี้เสียเอง หากเป็นเช่นนั้น ความเร็วในการขยายรากฐานจะเพิ่มขึ้นมาก แต่หากวัสดุเหล่านี้ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ การขยายอาณาจักรของเหล่าเซียนจะต้องพึ่งพาวัสดุจากโลกเซียนกลางในการทยอยส่งมอบวัสดุเหล่านั้นมาให้เท่านั้น
ไป๋ชิวหรานพาเหล่าสตรีไปที่เมืองหลัก เหล่าเซียนที่เคยอยู่แต่บนเรือ ตอนนี้ได้แยกตัวออกไปทำงานของตนอย่างเป็นระเบียบ และในไม่ช้าประตูเมืองเซียนแห่งนี้ก็สามารถเปิดได้อย่างสมบูรณ์
ไป๋ชิวหรานและพวกพ้องก้าวเข้าสู่ศูนย์บัญชาการ นายเรือรบดั้งเดิมกล่าวทักทายพร้อมรายงานพวกเขาว่า
“ท่านบรรพชน มีอสูรจากด้านนอกเข้ามาปิดล้อม”
“หากเจ้าเห็นอาจารย์อสูรเหล่านั้นกำลังบุกเข้ามา เหตุใดต้องรายงานให้ข้าทราบ เจ้าสามารถจัดการกับมันได้ด้วยตนเอง!”
ไป๋ชิวหรานมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ท่านบรรพชนกระบี่ เมื่อเราสร้างตาข่ายเอาไว้ ก็มีอสูรมากมายนับไม่ถ้วนเข้ามารุมล้อม และพวกเราก็สังหารมันหมดสิ้นแล้ว”
ผู้นำโค้งคำนับต่อไป๋ชิวหรานและกล่าวว่า
“แต่คราวนี้ อาจารย์อสูรเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อโจมตี แต่ดูเหมือนว่ามันต้องการจะเป็นพันธมิตร!”
“พันธมิตร?”
ไป๋ชิวหรานอุทานอย่างประหลาดใจ
“เป็นเช่นนั้น…”
สีหน้าของนายเรือเผยความแปลกใจเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยึดถือว่าพวกเราคือผู้มีอำนาจ และตาข่ายที่พวกเราปิดกั้นเอาไว้ก็ถูกเข้าใจว่าเป็นอาณาเขตของพวกเรา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นพลังอำนาจในสายตาพวกมัน”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็พาข้าไปดู”
“ขอรับ”
ภายใต้การนำทางของผู้นำ ไป๋ชิวหรานเดินตามเขาไปยังด่านหน้าปราการ ตาข่ายปิดล้อมอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ด่านหน้าปราการว่างเปล่าอยู่ใกล้กับตาข่ายปิดล้อม ซึ่งไป๋ชิวหรานมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เพราะมันเป็นเพียงผนึกโปร่งแสง
เขตแดนจิตสำนึกยังเผยสีสันและอยู่ในโลกแห่งอาจารย์อสูรที่กว้างใหญ่ พวกมันเชื่อมโยงเข้ากับหลายมิติ และเขตแดนจิตสำนึกเหล่านั้นถูกตาข่ายปิดล้อมกั้นออกเป็นสองส่วน แยกออกมาเป็นภายในและภายนอก
เหนือสายธารแห่งความว่างเปล่าถูกตัดขาด มีอาจารย์อสูรยักษ์รูปร่างพิสดารยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ทั่วร่างของอาจารย์อสูรถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีคราม ร่างดูคล้ายกับมนุษย์ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วร่างกายนั้นเต็มไปด้วยอสรพิษที่เกี่ยวกระหวัดอยู่เต็มกาย
ทุกนิ้วมือ นิ้วเท้า ทุกสิ่งมีศีรษะอสรพิษปรากฏอยู่ เสียงขู่ฟ่อของมันดังระงม
แม้กระทั่งศีรษะขนาดใหญ่ของมันยังเป็นอสรพิษสามเศียร ดวงตามองไปรอบ ๆ เผยเขี้ยวคมสะท้อนเงาแปลบปลาบอยู่ในปาก ควันสีม่วงถูกปลดปล่อยออกจากเขี้ยวยักษ์ เพียงมองครั้งเดียวก็ทราบได้ว่าเป็นพิษร้ายแรง
ศีรษะตรงกลางของอสรพิษตัวนี้กำลังจ้องมองเขตแดนจิตสำนึก มีพลังจิตสำนึกแผ่ออกจากร่างกายของมันอย่างคลุมเครือ ซึ่งมันสะท้อนอยู่ในเขตแดนจิตสำนึกเหล่านี้ มันคิดใช้วิธีนี้เพื่อสื่อสารกับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ
“เช่นเดียวกัน ข้ามาที่นี่เพื่อสร้างพันธมิตรร่วมกับเจ้า ในเมื่อไม่ใช่ศัตรู ข้าไม่คิดว่าต้องเข้มงวดมากเช่นนี้เลย”
“แล้วตอนนี้เป็นศัตรูอยู่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานคิดอย่างสงสัย
“มันก็เป็นเพียงการพูดคุยกันระหว่างอาจารย์อสูรไม่ใช่หรือ?”
มันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนี้ ไป๋ชิวหรานเรียกเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานออกมา ตอนนี้มันวิวัฒนาการไปอีกขั้นแล้ว เกราะเงินสองสามชิ้นปรากฏขึ้นบนร่างกาย กระบี่และหอกของมันคมกริบและเต็มไปด้วยพลังไร้ขอบเขต มังกรทองห้ากรงเล็บที่อยู่บนท่อนแขนนั้นก็เติบโตขึ้น จนตอนนี้ใช้หางของมันพันรอบไหล่ข้างหนึ่งของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน และห้อยตัวเล่นอยู่ในกงล้อแสงด้านหลังศีรษะ
ไป๋ชิวหรานสั่งการผ่านความคิดให้เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานทะยานขึ้นสู่อากาศทีละน้อยผ่านตาข่ายปิดล้อม และลงหยุดยืนบนสายธารแห่งความว่างเปล่าภายนอก จนมาเผชิญหน้ากับอสรพิษร่างใหญ่ตรงหน้า
เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานกล่าวถาม
“เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”