ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 43 ภูเขาติ่งเจียง
บทที่ 43 ภูเขาติ่งเจียง
หลังจากเดินและหยุดพักเป็นช่วง ๆ อยู่หลายวัน ถังรั่วเวยกับจั่วเหยียนเฟยก็มาถึงบริเวณภูเขาติ่งเจียงซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐติ่งกั๋วแล้ว
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชายตีนเขา ทำให้ผู้คนสามารถเงยหน้ามองขึ้นไปบนภูเขาได้อย่างชัดเจน รูปปั้นหินที่สร้างขึ้นเป็นรูปฮ่องเต้องค์ก่อนช่างดูโดดเด่นนัก เป็นชายร่างสูงสวมชุดเกราะของจักรพรรดิ ในมือถือดาบเล่มใหญ่ ยืนตระหง่านอยู่ริมภูเขา เมื่อมองจากระยะไกลแล้วจึงดูน่าเกรงขามไม่น้อย
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะยังไม่เริ่มทำการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด”
จั่วเหยียนเฟยถอนสายตากลับมาพลางเอ่ยกับถังรั่วเวย
“ต้องขอบคุณเคล็ดวิชาการหลบหนีของเจ้า… รั่วเวย ไม่อย่างนั้นลำพังตัวข้าเองก็คงไม่มีทางมาถึงที่นี่เร็วถึงเพียงนี้แน่”
“ไม่ต้องเกรงใจ… ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นเพียงทักษะทั่วไปที่จะใช้ก็ต่อเมื่อต้องสัญจรทางบกเท่านั้น”
ถังรั่วเวยโบกมือ
“อีกอย่าง แม้จะมาถึงที่นี่แล้วแต่ข้าก็ยังไร้ประโยชน์ ข้าไม่เคยเรียนรู้วิธีการแกะรอยติดตามพวกอสูรเผ่ามารมาก่อน”
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“โอ้? พี่เหยียนเฟยเคยร่ำเรียนเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการแกะรอยติดตามพวกอสูรมาแล้วหรือ?”
ถังรั่วเวยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เปล่าหรอก สำหรับกองทัพเทพยุทธ์แล้ว มันเป็นวิชาการฝึกปฏิบัติในภาคปลายเช่นกัน”
จั่วเหยียนเฟยตอบ
“แต่ข้ารู้วิธีการแกะรอยสุนัขจิ้งจอก… ตราบใดที่วิ่งเข้าไปในภูเขา พวกอสูรเหล่านั้นคงจะกลายร่าง ซ่อนเร้นตัวตนไว้ เมื่อไรก็ตามที่หาพวกมันจนพบ พวกเราจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่องค์รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์”
“มีเหตุผล”
ถังรั่วเวยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แต่พื้นที่ในเขตภูเขาติ่งเจียงออกจะกว้างขวางถึงเพียงนี้ จะเริ่มหาจากจุดไหนดี?”
“ในตอนที่ข้าเข้าไปในภูเขา เจ้าพวกอสูรคงแปลงกายจนมีรูปร่างเป็นมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย และตนที่สามารถดึงดูดความสนใจจากองค์ชายรัชทายาทได้คงไม่พ้นสตรีงามผู้มากล้นไปด้วยเสน่ห์ งดงามเป็นอย่างยิ่งทีเดียว เมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้วความงามของพวกมันย่อมเป็นที่สะดุดตา”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวต่อไป
“พวกมันหลบซ่อนอยู่ในภูเขาแห่งไหน พวกเราลองถามไถ่จากชาวบ้านดูก็น่าจะรู้แล้ว”
ว่าแล้วทั้งสองจึงแยกย้ายไปคนละทางเพื่อถามความจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง สืบเสาะถามถึงเบาะแสบางอย่าง
ตามถ้อยคำจากปากชาวบ้านในละแวกนี้ เมื่อไม่นานมานี้ มีหญิงสาวหลายนางสวมหมวกประดับศีรษะ เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดเดินทางมาที่นี่ แล้วขึ้นไปบนภูเขาจากปากทางซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาติ่งเจียง
“ได้ยินหวังเอ้อที่อาศัยอยู่บ้านเรือนข้างกันนี้ บังเอิญเห็นใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งเข้าระหว่างทาง ความงดงามที่เผยออกมาประหนึ่งเทพธิดาลงมาจุติยังโลกมนุษย์ จนถึงตอนนี้หวังเอ้อยังคงมีอาการเหม่อลอยไม่หาย”
ชาวบ้านเล่าเรื่องราวให้ฟังพลางเงยหน้าสังเกตถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟย
“จริงด้วย แม่นางทั้งสองรูปโฉมสะสวยไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะข้าอายุมากแล้ว ไม่แน่อาจหลงใหลในความงามจนไม่อยากข้าวปลาไปสักระยะหนึ่งก็เป็นได้”
“ขอบคุณพวกท่านสำหรับข้อมูล”
จั่วเหยียนเฟยประสานมือคารวะเขา
ทั้งสองมองตามแผ่นหลังของชาวบ้านที่แบกจอบเดินห่างออกไป จั่วเหยียนเฟยจึงหันไปกล่าวกับถังรั่วเวยว่า
“ต้องเป็นพวกมันไม่ผิดแน่ อสูรเผ่ามารมีพลังวิญญาณดึงดูดใจของมนุษย์ธรรมดา ไปกันเถอะ… รั่วเวย ข้าใคร่แสดงให้เจ้าเห็นถึงความสามารถในการตามจับสุนัขจิ้งจอกเต็มทีแล้ว!”
…
จั่วเหยียนเฟยพาถังรั่วเวยเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางตามคำแนะนำของชาวบ้าน ก้าวขึ้นไปตามภูเขาเพื่อแกะรอยอสูรจากเผ่ามาร
เดินไปได้ไม่นานนัก จั่วเหยียนเฟยก็พบร่องรอยของอสูรเผ่ามารเข้าแล้ว จากการแกะรอยตามของจั่วเหยียนเฟย รอยเท้าของอสูรเหล่านั้นหายลับไปในป่าฝั่งหนึ่งของถนน… จั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยจึงจำต้องละทิ้งเส้นทางที่ราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นเดินฝ่าเข้าไปในดงหนามสองข้างทาง แล้วไล่ตามรอยเท้าที่พวกอสูรทิ้งร่องรอยไว้
ทั้งสองติดตามร่องรอยของอสูรจิ้งจอกกลุ่มนั้น แล้วค่อย ๆ เดินลึกเข้าไปในป่าที่ไม่มีผู้ใดเคยย่างกายเข้ามา จั่วเหยียนเฟยนำทางรุดไปด้านหน้าอย่างว่องไว บางครั้งถังรั่วเวยยังต้องหิ้วชายกระโปรงเพื่อติดตามนางไปให้ทัน ระหว่างทางจั่วเหยียนเฟยได้มอบความรู้แก่ถังรั่วเวยเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดกลางป่าแห่งนี้
อย่างเช่นผลไม้ใดที่กินแล้วเติมเต็มความหิวโหยได้ ต้นหญ้าบางประเภทสามารถรักษาและล้างพิษได้ ใบไม้ชนิดใดบ้างที่จุดไฟได้ง่ายเพื่อเป็นเชื้อไฟในการก่อกองไฟ หลังจากผ่านกระบวนการที่เต็มไปด้วยหลักการเหล่านี้ ภาพลักษณ์ของจั่วเหยียนเฟยในสายตาของถังรั่วเวยจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไป จากแม่ทัพหญิงผู้มีรูปกายภายนอกน่าเกรงขาม กลายเป็นพรานป่าผู้มากประสบการณ์แห่งป่าเขา ทำให้หญิงสาวเกิดภาพลวงตาว่าหอกเงินเล่มนั้นของนาง ‘ใช่หอกจริงหรือไม่?’
อีกทั้งความสามารถในการตามรอยของจั่วเหยียนเฟยก็ยังไร้ซึ่งข้อกังขา นางพาถังรั่วเวยเดินอ้อมไปมาลัดเลาะไปทั่วภูเขาติ่งเจียง ซึ่งตามทางยังคงมีร่องรอยของพวกอสูรปรากฏอยู่เป็นระยะ
เพียงแต่ร่องรอยของอสูรเผ่ามารเหล่านี้คล้ายว่าจะผิดแปลกไปจากที่พบในครั้งแรกตรงรอบนอกของภูเขา
“พวกมันจงใจเดินวนเวียนไปมา”
จั่วเหยียนเฟยแค่นเสียง
“นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์”
นอกจากจั่วเหยียนเฟยแล้ว ถังรั่วเวยก็คาดเดาว่าในบรรดาผู้ฝึกตนที่ร่วมอาสาตามล่าพวกมันก่อนหน้านี้ น่าจะไม่มีทักษะการตามรอยเท้าของสุนัขจิ้งจอกเป็นแน่ เจ้าพวกอสูรนี่วิ่งวนไปรอบภูเขาติ่งเจียง ไม่แน่คงจะหลอกล่อให้ผู้ฝึกตนติดตามเข้าไปในภูเขาติ่งเจียง ก่อนจะเร้นกายหลบหนีไปท่ามกลางความโกลาหล
ทว่าวิชาอำพรางนี้ใช้ไม่ได้ผลกับจั่วเหยียนเฟยผู้เกิดมาในครอบครัวนายพราน นางพาถังรั่วเวยตามรอยสุนัขจิ้งจอกไปตลอดทาง กระทั่งมาถึงสถานที่ซึ่งเจ้าอสูรจิ้งจอกซ่อนตัวอยู่อย่างแท้จริง!
“ที่นี่หรือ?”
ถังรั่วเวยกะพริบตาปริบ ๆ มองรูปปั้นหินขนาดใหญ่ตรงหน้า ที่มีความสูงประมาณห้าจั้ง
“เจ้าพวกอสูรจิ้งจอกอาศัยอยู่ใต้รูปปั้นฮ่องเต้องค์ก่อนของรัฐติ่งกั๋วหรอกรึ?”
จั่วเหยียนเฟยเดินวนไปมารอบรูปปั้นหินขององค์ฮ่องเต้ จากนั้นจึงชี้ไปยังตำแหน่งซึ่งอยู่ด้านหลังแท่นหิน
“อยู่ที่นี่ โดยสัญชาตญาณแล้ว สุนัขจิ้งจอกมักจะอาศัยอยู่ในโพรงต้นไม้หรือโพรงถ้ำบนพื้นดิน ฉะนั้นโพรงถ้ำนี้เป็นฝีมือของพวกมันแน่”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่งั้นเองสินะ”
“ใช่แล้ว… หืม?”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวตอบรับทันที แต่นางกลับพบว่าเสียงของตนช่างแปลกพิสดารออกไป นางเงยหน้าหันกลับไปมองอีกทาง แล้วพบว่าไป๋ชิวหรานมายืนอยู่ด้านหลังตนและถังรั่วเวยตั้งแต่เมื่อไร ไม่อาจทราบได้ เขาลูบคางมองจุดที่เจาะเป็นโพรงดินบนพื้นด้วยสีหน้าสงสัย
“ศิษย์น้องไป๋?! เจ้าตามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”
จั่วเหยียนเฟยอุทานด้วยความประหลาดใจ
นางและถังรั่วเวยอาศัยเคล็ดวิชาหลบหนีพรางกายของถังรั่วเวย จึงสามารถเดินทางจากเมืองหลวงของรัฐติ่งกั๋วมายังภูเขาติ่งเจียงได้อย่างรวดเร็ว ทว่าไป๋ชิวหรานเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น ไยเขาใช้ทักษะนี้ได้อย่างไร?!
“เอ่อ… นั่นสินะ”
ถังรั่วเวยครุ่นคิดหาคำกล่าวอ้าง แต่แล้วต้องจนปัญญาด้วยไม่รู้จะหลอกลวงจั่วเหยียนเฟยอย่างไร
“โอ้ นั่นเป็นเพราะศิษย์พี่หญิงฝากข้อความไว้กับข้า ด้วยเคล็ดวิชาลับของสำนักดาบชิงหมิงในตอนที่ข้าแยกตัวจากไป”
ไป๋ชิวหรานปริปากหาข้อกล่าวอ้างได้อย่างลื่นไหล
“แต่หลังจากที่พี่จั่วและศิษย์พี่หญิงจากไป ข้าบังเอิญพบกับศิษย์พี่ผู้บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำที่ผ่านเข้ามาในเขตรัฐติ่งกั๋ว จึงขอร้องให้เขาพาข้ามาที่นี่ ใช่หรือไม่ศิษย์พี่หญิง? ท่านจำศิษย์พี่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้หรือไม่?”
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่พาเจ้ามาที่นี่ เช่นนั้นคงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด”
ถังรั่วเวยรีบรับสมอ้างตามคำของไป๋ชิวหราน ทั้งยังกล่าวเสริมด้วยว่า
“ข้าฝากข้อความไว้กับเขาจริง ศิษย์พี่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อมีระดับขั้นการฝึกตนที่สูงส่งยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงพาศิษย์น้องไป๋ตามมาสมทบกับพวกเราสองคนได้อย่างทันการณ์”
“อย่างนั้นรึ?”
ความสงสัยภายในใจของจั่วเหยียนเฟยค่อยคลายลง
“ในเมื่อเป็นเรื่องภายในสำนักของเจ้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ติดใจสงสัยแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็เถอะ… ศิษย์น้องไป๋ เจ้าต้องติดตามพวกเราสองคนไม่ให้ห่าง มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผนการจับกุมเจ้าอสูรเผ่ามารเช่นเดียวกันกับเรา”
“รับทราบแล้ว”
ไป๋ชิวหรานตอบด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณพี่จั่วแล้ว ที่อุตส่าห์ห่วงใยข้า”
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าติดตามพวกเรามาเถิด”
จั่วเหยียนเฟยมองเข้าไปในโพรงดินก่อนหันไปกล่าวกับถังรั่วเวย
“รั่วเวย…”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
ถังรั่วเวยเอื้อมมือไปจับไหล่ของจั่วเหยียนเฟย หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง จึงยื่นมืออีกข้างเพื่อคว้าไหล่ของไป๋ชิวหรานไว้ จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อโคจรพลังปราณแก่นแท้ แล้วพาคนทั้งสองผ่านเข้าไปในโพรงดินนั้น
** มาแล้วผู้อ่านจ๋าาา เปิดนิยายให้อ่านฟรี กว่า 700 ตอน **
คัดสรรนิยาย 4 เรื่อง 4 แนว สุดฮิตมาให้อ่านกันตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ ต้องรีบไปอ่านแล้ววว
⏰ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย – 18 เม.ย. นี้
ติดตามผลงานและข่าวสารจากเราได้ที่ เพจ EnjoyBook