ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 434 เพียงแค่ร่อนลงสู่พื้น กิ้งก่าน้อยก็ตายตก
บทที่ 434 เพียงแค่ร่อนลงสู่พื้น กิ้งก่าน้อยก็ตายตก
บทที่ 434 เพียงแค่ร่อนลงสู่พื้น กิ้งก่าน้อยก็ตายตก
ภายในป่าเงียบสงัด โส่วเฟผลักใบไม้ที่บดบังสายตาออก ก่อนจะยกคันธนูขึ้นและง้างคันศร โดยไม่ลืมที่จะกลั้นหายใจขณะกำลังเล็งหมูป่าที่เดินเตร็ดเตร่อย่างสบายใจตรงหน้า
ในฐานะที่เป็นสตรีเผ่าภูต นางไม่ชอบกินเนื้อนัก
แม้แต่นักรบในเผ่าก็ยังไม่ได้กินบ่อยนัก… เนื้อเป็นเพียงอาหารเสริมเท่านั้น และเมื่อคนภายในเผ่าจำเป็นต้องกินเนื้อ ทั้งหมดต่างก็ต้องเอามือบีบจมูก อดทนต่อความมันเยิ้มและกลืนสิ่งเหล่านั้นลงสู่กระเพาะอาหารด้วยความยากเย็น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้มันเกิดเหตุจากการบูชายัญมังกรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปัดเป่าอสูรมนุษย์กินคน เผ่าภูตจึงเปิดให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของมังกรทรงพลัง พวกเขาใช้พลังอักขระโบราณที่พระเจ้ามอบให้เพื่อสื่อสารกับอีกฝ่ายได้สำเร็จ มังกรศักดิ์สิทธิ์จึงยอมลงนามเป็นพันธมิตรร่วมกัน
มังกรจะอยู่ต่อสู้เคียงข้างกับเหล่าภูตเมื่ออสูรเหล่านั้นบุกเข้ามา และเพื่อเป็นการชดใช้ ภูตภายในป่าจึงต้องจัดหาอาหารให้กับมังกรอย่างเพียงพอ ทั้งสถานที่พักผ่อน และสมบัติมากมาย
มังกรยักษ์มีขนาดใหญ่กว่าสิบจั้ง มันเป็นอสูรที่แสนตะกละตะกลาม เมื่อไม่มีเหตุการณ์สำคัญใด ๆ มันจะนอนทั้งวันทั้งวี่ เมื่อตื่นก็จะกินหรือดื่ม ช่วงเวลานั้นพละกำลังของมันจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นหลังจากตื่นนอน พวกมันจึงต้องการอาหารจำนวนมาก
มังกรยักษ์สามารถย่อยทุกสิ่งอย่างได้ และไม่มีความเสี่ยงที่จะอดตาย แต่มังกรศักดิ์สิทธิ์ที่ลงนามเป็นพันธมิตรกับเผ่าภูตนี้เรื่องมากกับอาหารอย่างยิ่ง พวกมันเขียนเพิ่มในสนธิสัญญาว่าอาหารทั้งหมดที่พวกมันจะได้รับจะต้องเป็นเนื้อสดเท่านั้น
ดังนั้นสมาชิกของเผ่าภูตทั้งหมดที่สามารถออกล่าสัตว์ได้จึงต้องหยิบกระบี่และธนูออกไปล่าสัตว์ในป่า และในฐานะสมาชิกของเผ่า โส่วเฟเองก็ไม่มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน
นางใช้ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของตน นั่นก็คือความเชี่ยวชาญด้านธนูและคันศร นางเล็งจุดสำคัญของหมูป่าอย่างแม่นยำ โส่วเฟปล่อยลูกธนูอย่างมั่นใจ เพียงดอกเดียวก็สามารถสังหารหมูป่าตรงหน้าได้แน่นอน
ลูกธนูอยู่บนเชือก ในขณะที่นางกำลังจะปล่อยนิ้วและส่งหมูป่าตัวนั้นสู่สวรรค์ สายลมกระโชกประหลาดพลันโหมกระหน่ำอย่างไม่ทันตั้งตัว
หมูป่าตื่นตระหนกในทันที ก่อนจะกระโดดขึ้นลงบนพื้นหญ้าด้วยกีบเท้าน้อย ๆ และด้วยสัญชาตญาณการรับรู้ของเผ่าภูต โส่วเฟก็สังเกตเห็นความแตกต่างเช่นกัน!
นางขยับใบหูแหลมไปมา… ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
อุกกาบาตปลดปล่อยควันออกกลายเป็นคลื่นแบ่งท้องฟ้าเป็นสองซีก ก่อนจะร่วงหล่นสู่พื้น มันค่อย ๆ เข้าใกล้พื้นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ
โส่วเฟมองไปยังทิศทางที่อุตกาบาตร่วงลงมา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นั่น… ทิศทางบ้านของข้า…
“เดี๋ยว… เดี๋ยว!”
สาวชาวเผ่าภูตเผยใบหน้าซีดเซียวด้วยความตื่นตระหนก นางเอื้อมมือออกไปพร้อมตะโกนใส่อุกกาบาตขณะที่วิ่งไล่ตามอย่างสุดกำลัง!
แต่หากนางสามารถหยุดอุกกาบาตได้เพียงแค่ตะโกน… ปราชญ์ที่มีอำนาจที่สุดในเผ่าภูตทั้งหมดคงจะรีบสละราชสมบัติเพื่อหลีกทางให้นางขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้ว
ความรุนแรงของอุกกาบาตยังไม่ลดลง และในแววตาที่สิ้นหวังของโส่วเฟ มันร่วงหล่นสู่บ้านของนาง เกิดฝุ่นคละคลุ้งทั่วท้องฟ้า ก้อนเมฆทั้งหมดกลายเป็นสีแดงฉานราวกับทะเลเพลิง
ที่สิ้นหวังยิ่งกว่านั้นก็คือนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าชนเผ่าภูต
“แย่แล้ว! มังกรศักดิ์สิทธิ์ตายตกเพราะถูกอุกกาบาตพุ่งชน!”
…
“บอกแล้วว่าให้ควบคุมเรือให้ดี อย่าได้ประมาทเลินเล่อ!!”
ในหลุมลึก ซูเซียงเสวี่ยผลักช่องประตูที่บิดเบี้ยวด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว จากนั้นหันกลับมาดุชายหนุ่มผมขาวที่อยู่ข้าง ๆ
“แล่นเรือแค่นี้เหตุใดจึงไม่อาจทำได้! เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่กลับไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้?”
“ข้าเพิ่งขับเรือเป็นไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ…”
ไป๋ชิวหรานเกาศีรษะเบา ๆ พร้อมกับขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
ซูเซียงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่ทราบจะกล่าวตอบโต้อย่างไร สุดท้ายแล้วสิ่งที่ไป๋ชิวหรานกล่าวก็คือความจริง
เมื่อเขาอยู่ที่ขั้นกลั่นลมปราณ มีเพียงพลังปราณแก่นแท้ในร่างกาย ดังนั้นจึงได้รับความเดือดร้อนจากการเลือกฝึกฝนคาถาและเครื่องมือต่าง ๆ ในโลกของการฝึกตน แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ดินแดนยมโลก เขายังต้องขอให้แม่นางน้อยช่วยเขาควบคุมเรือ
และไป๋ชิวหรานก็ทำเช่นนี้เสมอเมื่อออกเดินทาง มันดูคล้ายกับทรงพลังและแข็งแกร่งราวกับว่าทะลุมิติได้ แต่หากมองให้ช้าลงจึงจะพบว่า ความจริงแล้ว… เขาเพียงแกว่งขาของตนเองอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพลังขาของเขาทั้งสิ้น!
กระทั่งไป๋ชิวหรานบังเอิญหลงเข้าไปในยุคทวยเทพ เขาถูกวิถีสวรรค์บดขยี้ จากนั้นก็ได้พบกับเจียงหลานภรรยาสุดที่รัก หลังจากที่เจียงหลานใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลของตนสร้างกระบี่สำหรับเขา ไป๋ชิวหรานจึงมีความสามารถในการใช้กระบี่บินนับแต่นั้น
“ผู้นำสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเสนอก่อนหน้านี้ว่าห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมจะจัดตั้งใบอนุญาตการขับเรือเหาะในหมู่ผู้ปฏิบัติงานของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ผู้ใดที่ไม่มีใบรับรอง จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทาง!”
ซูเซียงเสวี่ยขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านกับรั่วเวยก็พอกัน! ชอบทิ้งทุกสิ่งไว้ให้ข้าจัดการภายหลังเสมอ!”
ไป๋ชิวหรานไม่กล้าโต้เถียง เพราะซูเซียงเสวี่ยกล่าวความจริง… เขามักจะสร้างปัญหาเสมอ ศีรษะของเขาแกร่งกล้าราวกับเหล็ก ย่อมมีจิตสำนึกอยู่ในนั้นบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเกรงกลัวหากจะพุ่งชนกับสิ่งใดบนโลกใบนี้
ส่วนถังรั่วเวยก็อาจจะเกิดมาเพื่อชอบแนวคิดของตนเอง อย่างเวลาที่พูดมักไม่ค่อยใช้สมองนัก… เพราะนางไม่มี และนั่นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางค่อนข้างมุทะลุกว่าคนปกติทั่วไป
เช่นเดียวกันกับคราวนี้ ไป๋ชิวหรานปล่อยตัวขณะขับเรือ โดยไม่สนใจเมื่อเรือบินปิดโหมดพลังงานขณะพุ่งร่วงหล่นจากท้องฟ้า ไป๋ชิวหรานยังคงหันหน้าไปพูดคุยกับเจียงหลานเกี่ยวกับไป๋ซวี่เซียงเมื่อตอนนางชอบฉี่รดที่นอนตอนอายุสามขวบอย่างสนุกสนาน
เป็นผลให้เรือเหาะนี้สูญเสียพลังงาน แล้วกระแทกลงสู่พื้นดิน… กลายเป็นเศษดาวตกร่วงหล่น
“เซียงเสวี่ย อย่าโกรธเลยน่า ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด”
เจียงหลานกล่าวปลอบโยน
“เรือเหาะพังเสียหายหมดแล้ว ชิวหรานยังพาเราสองคนบินผ่านความว่างเปล่านี้ได้… กระบี่นั้นสร้างจากพังเทพเจ้าของข้าเอง และมันไม่เป็นไรเลยหากเราจะทำลายดาวดวงนี้สักหน่อย”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าโกรธ”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“หากนึกถึงว่าถ้าอนาคตของเขาที่ยังทำตัวเช่นนี้อยู่ ผู้อื่นจะกราบไหว้เขาได้อย่างไร…”
เจียงหลานถึงกับเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะหันไปหาไป๋ชิวหรานด้วยความเคร่งขรึม
“เมื่อกลับไปต้องไปขอใบรับรองทันที!”
“ตกลง… ตกลง”
ไป๋ชิวหรานประสานมือเพื่อเป็นการขอโทษก่อนจะเดินออกไป จากนั้นเขาหันศีรษะไปเห็นสัตว์ประหลาดยักษ์นอนอยู่ตรงหน้า
“หืม? กิ้งก่าตัวนี้เป็นเทพเจ้างั้นหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานมองตามทิศทางของเขา และเห็นว่ามีกิ้งก่าสีขาวตัวใหญ่นอนแผ่อยู่ข้างเรือเหาะที่พังทลาย ก่อนหน้านี้มันน่าจะงดงามและทรงพลังยิ่ง แต่ตอนนี้เกล็ดของมันถูกฉีกออก บาดแผลใหญ่เล็กปรากฏทั่วร่างกาย เนื้อไหม้จนกลายเป็นสีดำเกรียม และมันไม่หายใจแล้ว
“คงจะเป็นเผ่าพันธุ์พื้นเมืองของโลกใบนี้ละมั้ง”
หลังจากมองสักครู่หนึ่ง เจียงหลานจึงกล่าวคำ
ไม่แปลกใจเลยที่นางจะคิดเช่นนี้ เจียงหลานเป็นบุคคลที่กำเนิดในยุคทวยเทพ ในยุคของเหล่าเทพเจ้า กิ้งก่าที่ยาวเพียงสิบจั้งนี้ก็แค่กิ้งก่าตัวน้อยเท่านั้น
ในยุคทวยเทพ… สัตว์ร้ายต่าง ๆ ก็มีขนาดเริ่มต้นประมาณนี้
“เอ๊ะ! ดูสิ กิ้งก่าตัวนี้มีปีก ดูเหมือนว่าจะเป็นอารยธรรมของโลกวัตถุนี้ มันน่าจะถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดทรงพลัง!”
ซูเซียงเสวี่ยแสดงความคิดเห็นบ้าง
“เอาล่ะ… ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันคงต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญมากแน่นอน”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นมอง
ที่ขอบหลุมบ่อ กลุ่มของสิ่งมีชีวิตร่างคล้ายมนุษย์งดงาม รูปร่างเพรียว ใบหูแหลมยาว กำลังถือคันธนูและลูกธนู พร้อมกับเล็งมาที่พวกเขาทั้งสามด้วยท่าทางกังวล…