ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 435 เห็นไหม พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย
บทที่ 435 เห็นไหม พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย
บทที่ 435 เห็นไหม พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย
ไป๋ชิวหราน เจียงหลาน และซูเซียงเสวี่ย จับจ้องเหล่ามนุษย์หูแหลมรอบหลุมอย่างผ่อนคลาย
มนุษย์ใบหูแหลมเหล่านี้ควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมของโลกวัตถุแห่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าพลังงานในร่างกายของพวกเขาจะมีระดับที่ต่ำมาก
ไป๋ชิวหรานพอใจกับพลังงานของพวกเขามาก เพราะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มมนุษย์หูแหลมเหล่านี้อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น? หลีกทางให้ข้ารับชม…”
โส่วเฟที่รีบกลับมาจากป่าด้วยความเร่งรีบกำลังผลักสมาชิกในกลุ่มออกเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน จากนั้นก็เห็นหลุมลึกขนาดใหญ่และมังกรศักดิ์สิทธิ์ที่ตายตกอยู่ในภายหลุมพร้อมร่างกายที่ฉีกขาด
นางหายใจเข้าลึก ก่อนจะดึงเสื้อของคนรอบตัวแล้วกล่าวถาม
“แล้วบ้านของข้าล่ะ? บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้น เพิ่งย้ายมาได้เพียงสามเดือน มันหายไปไหนแล้ว?”
“นั่น…”
ภูตชายคลายมือของนางออกจากเสื้อเขา ก่อนจะชี้ไปที่แห่งหนึ่ง
โส่วเฟเดินตามนิ้วของเขาไปและเห็นหลุมไหม้เกรียมกลวงโบ๋ ทั้งยังมีซากบ้านเรือนบางส่วนอยู่ในหลุม ตอนนี้ไฟแผดเผาจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว
“อั่ก…”
ร่างกายของภูตสาวสั่นสะท้าน ดวงตากลอกไปมาก่อนจะเป็นลมหมดสติไป
“พวกเขาพูดคุยอะไรกัน?”
มีร่างของผู้หญิงต้องสงสัยโผล่ออกมาจากกลุ่มมนุษย์หูแหลมอย่างกะทันหัน เมื่อพวกเขาพูดคุยกันสักครู่ สตรีผู้นั้นก็ตื่นตระหนกจนเป็นลมไป ทำเอาไป๋ชิวหรานฉงนใจ
“ข้าไม่ทราบ แต่เราอาจจะพบปัญหาแล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยมองไปโดยรอบ
“โดยรวมแล้วการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ เอาล่ะ… เรียนภาษาของพวกเขาก่อน”
ท้ายที่สุด ผู้นำสำนักเหอฮวนก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสของตนออกไปหาสตรีที่เป็นผู้นำกลุ่มมนุษย์หูแหลมนี้อย่างอ่อนโยน
“สวัสดี…”
เสียงของซูเซียงเสวี่ยส่งไปยังจิตสำนึกของสตรีผู้นั้นโดยตรง ทำให้อีกฝ่ายถึงกับตื่นตระหนก
คันธนูที่นางถือไว้ในมือคล้ายกับจันทราครึ่งเสี้ยวถูกเชิดขึ้นไปยังดวงเดือนบนท้องฟ้า และปลดปล่อยพลังลึกลับในร่างกายโดยไม่รู้ตัว อักขระสีเขียวมรกตปรากฏที่ปลายลูกศรส่องประกายเจิดจ้าออกมา
อักขระโบราณนี้สร้างความคุ้นเคยกับไป๋ชิวหรานมาก… เบาะแสแรกที่เขาเรียนรู้มามันคล้ายคลึงกับอักขระที่ปรากฏอยู่ตรงปลายลูกศรของภูตสาว มันน่าจะถูกพัฒนามาจากอักขระนี้
ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยมองหน้ากัน และดูเหมือนว่าอักขระเหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเซียนซู่หัวจริง ๆ
“ไม่ต้องกังวล”
ซูเซียงเสวี่ยยังคงใช้จิตสัมผัสเพื่อสื่อสาร
“พวกเราไม่มีเจตนาร้ายต่อท่าน”
ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยกล่าว นางก็ปลดปล่อยพลังอย่างเงียบงัน พลังของย่างก้าวภูตพรายแผ่ขยายออกไป เหล่าภูตทั้งหมดที่ไม่ได้ระวังตัวจึงรู้สึกว่าตนเองสนิทสนมกับทั้งสามคนตรงหน้าแทนที่จะเกลียดชัง…
มือของเหล่าภูตทั้งหมดที่ยกคันธนูขึ้นพลันคลายออก และลูกศรบนเชือกก็ผ่อนคลายลง เผยให้เห็นสีหน้าเป็นมิตรระคนสับสน
ในช่วงเวลานี้… ซูเซียงเสวี่ยใช้จิตสัมผัสบุกรุกเข้าไปในจิตสำนึกของภูตสาว และค้นหาว่าภาษาของเผ่าพันธุ์นี้มีวิธีกล่าวเช่นไร
จากนั้นนางจึงสื่อสารสิ่งเหล่านี้กับไป๋ชิวหรานและเจียงหลานผ่านจิตสัมผัสอย่างรวดเร็ว
“ฟังก่อนเถิด… พวกเรามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ และไม่ได้คิดที่จะโจมตีพวกท่าน”
ซูเซียงเซวี่ยเหลือบมองกิ้งก่าตัวน้อยด้านข้าง
“พวกเราทุกคนเสียใจมากสำหรับเหตุการณ์นี้ มันคืออุบัติเหตุ! และเรายินดีชดเชยความสูญเสียให้กับครอบครัวและสหายของเขา”
ความคิดของพวกเขาล้วนจริงใจ ดูไม่น่าเป็นคนไม่ดี
ภายใต้อิทธิพลของย่างก้าวภูตพราย… เหล่าภูตทั้งหมดต่างสับสน
ในขณะนั้นมีลมกรรโชกแรงบนท้องฟ้า และสัตว์ประหลาดยักษ์อีกตัวหนึ่งยาวกว่าสามจั้งกระพือปีกร่อนลงมาจากเมฆ ก่อนจะพุ่งลงไปในหลุมลึกอย่างรุนแรง!
เกล็ดสีแดงเพลิงราวกับมีไฟท่วมร่างกาย มันหยุดยืนบนพื้นก่อนจะกล่าวถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เกิดอะไรขึ้น?”
พลังของซูเซียงเสวี่ยถึงกับสะดุดไปชั่วขณะ… เหล่าภูตสะดุ้งเป็นรายคนก่อนจะกล่าวตอบ
“ใต้เท้าซาข่า เมื่อครู่นี้ คนแปลกประหลาดเหล่านั้นร่วงหล่นจากท้องฟ้าแล้วพุ่งชนใต้เท้าหลัวซา…”
สัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่รู้จักในนามของ ‘ใต้เท้าซาข่า’ เหยียดคอเรียวยาวของมันมองเข้าไปในหลุมทันทีที่ได้ยิน ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
มันมองศพสัตว์ประเภทเดียวกันในหลุม ไม่มีการตอบสนองใดกลับคืน ก่อนความโศกเศร้าจะผุดเผยขึ้นในแววตา มันคำรามสนั่นไปทั้งท้องฟ้า
“หลัวซา!!”
เสียงคำรามดังกึกก้อง อักขระโบราณแดงเพลิงปรากฏขึ้นบนเกล็ดของสัตว์ร้ายยักษ์ตัวนี้ เปลวเพลิงผุดออกจากปากของมันก่อนจะหันมาคำรามใส่ไป๋ชิวหราน และคนอื่น ๆ
“เจ้าปีศาจชั่วร้าย! ข้าจะฝังเจ้าไว้ที่นี่!”
ซูเซียงเสวี่ยก้าวไปด้านหน้า และคิดจะใช้ย่างก้าวภูตพรายเพื่อจัดการกับกิ้งก่ายักษ์ตรงหน้า… แต่ไป๋ชิวหรานหยุดยั้งนางเอาไว้
“ให้ข้าจัดการ”
เขาลั่นข้อมือเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงเข้าหากิ้งก่ายักษ์สีแดงเพลิง
“การเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดอาจจะเป็นเสน่ห์ที่ฝึกฝนได้ยาก แต่ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น!”
“โฮ่กกกก!!”
โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใด สัตว์ร้ายที่โกรธจัดผุดเผยอักขระโบราณสีแดงเพลิงลุกเป็นไฟทั่วร่างกาย แล้วพ่นอัคคีลูกใหญ่ออกจากปากเพื่อทำลายทั้งสามคนตรงหน้า
แต่หลังจากเพลิงยักษ์สิ้นสุดลง ความโกรธของมังกรตัวนี้ผ่อนคลายเล็กน้อย แต่แล้วในทันใดกลับมีกำปั้นยื่นออกมาจากเสาเพลิงพร้อมกับปะทะปลายคางของมันอย่างแม่นยำ
ก่อนที่มังกรตัวนี้จะตอบสนองได้ทัน ร่างกายใหญ่ยาวสามจั้งของมันถูกกำปั้นกระชากขึ้นจากพื้นดิน จากนั้นถูกเหวี่ยงเป็นครึ่งวงกลมแล้วกระแทกลงไปในหลุมอย่างหนักหน่วง!
ตูม!
ทั้งแผ่นดิน และหินกระเด็นกระดอน สัตว์ร้ายตัวใหญ่นี้ล้มลงข้างศพของคู่หูเกล็ดขาว ดูเหมือนมันจะหมดสติในทันที
“ดูสิ… พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ”
ไป๋ชิวหรานเหยียบปากของสัตว์ร้ายตัวนี้ด้วยเท้าข้างหนึ่ง ก่อนจะมองดูเหล่าภูตรอบ ๆ ด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“ไม่เช่นนั้นเราจะฆ่ามันซะ!”
เหล่าภูตมองหน้ากันอย่างยากจะเดาอารมณ์ จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก
เมื่อเห็นว่าทั้งหมดกำลังจะกรีดร้อง เจียงหลานก็ปรบมือได้ทันเวลาพร้อมกล่าวขึ้น
“โปรดอย่าวิ่งหนีหรือส่งเสียงร้อง! เพราะมันเป็นสัญญาณที่จะบ่งบอกว่าพวกท่านคิดกล่าวหาว่าพวกเราคือคนร้าย มันไม่สุภาพยิ่งหากพวกท่านออกวิ่ง! หากทำเช่นนั้นบางทีอาจจะต้องกรีดร้องดังกว่าเดิม หลังจากนี้พวกเราคือสหายที่ดีที่สุด การพูดคุยกันจึงเป็นทางออกที่ดีกว่า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหลาน เหล่าภูตที่คิดจะวิ่งหนีพลันปิดปากของตนเอง… ก่อนจะมองทั้งสามคนที่ยืนอยู่ในหลุมด้วยความสยดสยอง
เมื่อเห็นการแสดงออกของพวกเขาแล้ว เจียงหลานจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงขยิบตาให้ซูเซียงเสวี่ย อีกฝ่ายจึงเดินไปด้านหน้าอย่างเข้าใจ
ย่างก้าวภูตพรายเริ่มทำงานอีกครั้ง คราวนี้นางกล่าวถามเหล่าภูตตรงหน้าด้วยรอยยิ้มดังฤดูใบไม้ผลิ
“แล้ว… ผู้ใดจะเป็นตัวแทนออกมาพูดคุยกับพวกเราได้บ้าง?”
ด้วยพลังมนต์เสน่ห์ที่ถูกเปิดใช้งาน ดวงตาของเหล่าภูตทั้งหมดพร่ามัว และในชั่วเวลาต่อมา เด็กสาวที่หมดสติไปก่อนหน้ากล่าวก็ตอบขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะพูดคุยกับพวกท่านเอง…”