ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 438 มาดูกันว่าไอ้ตัวบัดซบไหนกล้าลงมือกับบุตรสาวของข้า!
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 438 มาดูกันว่าไอ้ตัวบัดซบไหนกล้าลงมือกับบุตรสาวของข้า!
บทที่ 438 มาดูกันว่าไอ้ตัวบัดซบไหนกล้าลงมือกับบุตรสาวของข้า!
บทที่ 438 มาดูกันว่าไอ้ตัวบัดซบไหนกล้าลงมือกับบุตรสาวของข้า!
เป็นความคิดของเล่อเจิ้นเทียนที่ต้องการนำจักรพรรดิเซียนองค์แรกออกมา ร่างจำแลงอาจารย์อสูรตนนี้มีความคิดเช่นเดียวกับไป๋ลี่ทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงความทรงจำที่ผิดเพี้ยนในช่วงที่อยู่ภายในกำแพงตระหนักรู้เท่านั้นที่เป็นไป๋ลี่อีกคนหนึ่ง
คนที่คุ้นเคยกับจักรพรรดิเซียนซู่หัวมากที่สุดในโลกนี้ย่อมต้องเป็นจักรพรรดิเซียนองค์แรกผู้เป็นอาจารย์ของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากไป๋ลี่มาที่นี่ ย่อมต้องมองเห็นสิ่งที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวทิ้งไว้อย่างแน่นอน
หลังจากฟังคำพูดของไป๋ชิวหรานแล้ว จักรพรรดิเซียนองค์แรกเริ่มเดินไปรอบ ๆ วิหารไม้ของเทพแห่งยันต์สูงสุดก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น
“ถูกต้องแล้ว นี่เป็นวิหารที่ซู่หัวทิ้งเอาไว้!”
“โอ้? เจ้าเห็นสิ่งใด?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม…
“สัญลักษณ์นี้คือสัญลักษณ์ประจำตัวของซู่หัว”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกชี้ไปที่สัญลักษณ์ที่ถูกจารึกไว้บนวิหาร… ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพแห่งยันต์สูงสุดก่อนจะกล่าว
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสอนเขา และไม่มีผู้ใดสามารถใช้มันได้นอกจากซู่หัว”
“บังเอิญหรือ?”
“ไม่ใช่ เพราะสัญลักษณ์นี้แสดงถึงเผ่าพันธุ์ของซู่หัว”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกตอบกลับ
“ท่านอาจารย์ ท่านจดจำรูปแบบการสื่อสารของเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกเมื่อท่านเพิ่งรับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่?”
“ข้าจำได้”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองเจียงหลานพร้อมกับพยักหน้า
ในเวลานั้น มนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นเผ่าและกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีสัตว์ป่า สัตว์จากต่างดาว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และทวยเทพ ทั้งหมดถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์ ในอีกไม่กี่ร้อยปีถัดมา ทั้งหมดแยกขาดกันอย่างแท้จริงและดำรงชีวิตแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับกลุ่มมนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นฝูซาง…
“ซู่หัวเป็นทายาทตระกูลซู่ หรือเคยได้รับการช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ ท่านอาจจำไม่ได้ แต่เมื่อเหล่าทวยเทพทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ คราวนั้นท่านมาถึงตระกูลซู่ และทั้งหมดตายตกอยู่ในสถานที่แห่งนั้น เหลือทารกเพียงคนเดียวนั่นคือซู่หัว”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกมองสัญลักษณ์พร้อมกล่าวช้า ๆ
“หลังจากท่านออกจากยุคทวยเทพและมอบม้วนคำภีร์ที่ผนึกเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ข้า วันนั้นข้าจึงได้พบซู่หัว และนำเขามาเลี้ยงร่วมกับเหลียนเอ๋อร์ในฐานะศิษย์คนโต วิญญาณของบรรพบุรุษในตระกูลซู่ภายในยมโลกขอให้ข้าส่งสัญลักษณ์ของตระกูลซู่ให้ เพื่อที่เขาจะได้จดจำต้นกำเนิดของตนเองได้ นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เป็นตัวเขามากที่สุด และซู่หัวใช้มันในทุกที่ที่ไป สัญลักษณ์นี้ล้วนถูกผนึกเอาไว้ตั้งแต่ธงของกองทัพไปจนถึงเครื่องประดับเล็ก ๆ ดังนั้นมันจึงไม่อาจเป็นเรื่องบังเอิญได้ อารยธรรมภายในโลกใบนี้คือการแสดงตัวตนของซู่หัว”
“เอาล่ะ… งั้นพวกเรามีปัญหาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานปรบมือ
“หากเทพแห่งยันต์สูงสุดคือซู่หัวจริง ๆ ตามตำนานของเทพแห่งยันต์สูงสุดแล้วถูกเล่าขานว่าเป็นคู่ชายหญิง บุรุษคือซู่หัว แล้วหญิงสาวคือผู้ใด? อย่าบอกนะว่าเขาสามารถหาภรรยาจากสถานที่เช่นนี้ได้… เห็นได้ชัดเจนจากรูปปั้นตรงนั้น แสดงให้เห็นว่านางคือเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“อืม…”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกพยายามไตร่ตรอง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าซู่หัวจะฝึกฝนร่างอวตารแล้วแปลงเพศ?”
“แล้วเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น?”
ไป๋ชิวหรานยังคงกล่าวเคร่งขรึม
“เจ้าเป็นอาจารย์ของเขา… เจ้าย่อมทราบดีที่สุดว่าทำไม เขามีเหตุใดต้องทำเช่นนั้น?”
“อืม… อยู่ต่างโลก คิดถึงบ้านเกิด ก็เลยช่วยเหลือตัวเอง?”
ใบหน้าของจักรพรรดิเซียนองค์แรกกลายเป็นอมทุกข์ เขาไม่สามารถหาเหตุผลได้
“ไม่! ซู่หัวเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนหมกมุ่น…”
“โอ้! ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกได้ว่าเขาเปลี่ยนบุคลิกให้เหมือนกับเจ้า ความจริงแล้วเด็ก ๆ ที่ถูกเลี้ยงดูโดยอาจารย์มักจะมีความรู้สึกเหล่านั้นนานแล้ว สำหรับนักปราชญ์และนักสู้ ทั้งหมดย่อมสามารถอดกลั้น ‘สิ่งเหล่านั้น’ ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในต่างแดนและอยู่ใกล้ชิดกับความตายทุกขณะ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยตัวเองและยอมทำตามสัญชาตญาณ”
หลังจากไป๋ชิวหรานกล่าวจบ เขาก็บีบคอตนเองพร้อมกัดลิ้นล้อเลียน
“หืม… ข้าคงเข้าใจผิดแล้ว คนเกียจคร้าน มากตัณหาอย่างจักรพรรดิเซียนองค์แรก เกรงว่าจะมีอยู่เพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้… ส่วนซู่หัว…”
“ให้ตายเถอะ ท่านอาจารย์ ท่านหยุดกล่าวว่าข้าเสียทีได้หรือไม่?”
เมื่อจักรพรรดิเซียนองค์แรกได้ยินเช่นนั้น ปากของเขาก็สั่นเกินกว่าจะโต้เถียง!
“การคาดเดาของท่านยิ่งย่ำแย่กว่าข้ามาก! มันน่าขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก!!”
“กล่าวราวกับการคาดเดาของเจ้าดีนัก…”
ไป๋ชิวหรานกลับมาทำตัวเป็นผู้เป็นคนก่อนจะกล่าวต่อ
“แล้วเจ้าไม่ทราบหรือว่าสตรีผู้นั้นคือใคร?”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกส่ายศีรษะ
“ไร้ประโยชน์ ลืมไปซะ! ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง…”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมตบศีรษะจักรพรรดิเซียนองค์แรก
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียง ซูเซียงเสวี่ยส่ายศีรษะไปมาก่อนจะมองไป๋ชิวหรานและเอ่ยถาม
“มีแต่ท่อนนั้นอยู่ในหัวหรืออย่างไร? ไปเรียนรู้เรื่องราวน่าขยะแขยงเหล่านี้จากที่ใดกัน?”
เจียงหลานยกนิ้วแตะริมฝีปากสีแดงก่อนจะกล่าว
“ข้าจำได้ว่า… ชิวหรานเคยอ่านเพลงยาวรักและตำรากามสูตรที่หอสมุดยมโลกเมื่อไม่นานมานี้”
“เหตุใดถึงอ่านเพลงยาวรักและตำรากามสูตร? เขาควรศึกษาวิธีการสร้างรากฐานไม่ใช่หรือไร?”
“ไม่!”
เจียงหลานส่ายศีรษะก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“ชิวหรานกล่าวว่าทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของซวี่เซียงในอนาคต ว่านางจะเจ็บปวดจากการตกหลุมรักผู้ใดหรือไม่ หากถึงเวลานั้นจะได้รับมือได้ถูกต้อง…”
“ตกหลุมรัก?”
“แล้วข้าจะไปพูดคุยกับเจ้าเด็กบัดซบที่กล้าจัดการบุตรสาวของข้าด้วยตนเอง! และให้เขาเข้าใจว่าเหตุใดต้องมีนรกถึงสิบแปดชั้น!”
ใบหน้าของเจียงหลานเย็นเยียบประหนึ่งว่าพร้อมจะสังหารว่าที่ลูกเขยใจกล้าผู้ยังไม่ปรากฏตัว หลังกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียนไป๋ชิวหราน นางจึงกล่าวต่อ
“ทั้งหมดคือสิ่งที่เขากล่าว ณ เวลานั้น”
“ดูเหมือนจะไม่ง่ายแล้วที่ซวี่เซียงจะพบเจอสามีที่ดีในอนาคต”
ประมุขสำนักเหอฮวนถึงกับถอนหายใจ
“เซียงเสวี่ยไม่เห็นด้วยกับแนวทางของชิวหรานหรือ?”
เจียงหลานกล่าวถาม
“อ่า…”
ซูเซียงเสวี่ยคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน”
…
ไม่ว่ากรณีใด หลักฐานทั้งหมดในปัจจุบันล้วนแต่ชี้ไปที่เท่อหมีซื่อ… มหาปราชญ์แห่งเผ่าภูตผมทอง นางจะต้องทราบข้อมูลบางอย่างแน่!
ไป๋ชิวหรานทราบดีว่าตนไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่ใช่คนไร้ยางอาย เขาสามารถแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีหากต้องรับมือกับอารยธรรมในโลกวัตถุที่ถูกพัฒนาโดยศิษย์และหลานชาย… เพราะเช่นนี้จึงต้องใช้เพียงสันติวิธีเท่านั้น
แต่หากวัตถุเหล่านี้คิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น มันก็ง่ายดายที่จะรังแก แม้ไป๋ชิวหรานจะใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อให้ได้คำตอบ… เขาก็ไม่ลังเล
ยังมีเวลาอยู่บ้างกว่าจะถึงวันที่เรียกว่า ‘วันออกล่า’ ไป๋ชิวหรานกับคนอื่น ๆ จึงใช้เวลานี้ออกสำรวจไปทั่วโลกวัตถุ
ในช่วงนี้ไป๋ชิวหรานติดตามภริยาทั้งสอง และรับชมทัศนียภาพอันงดงาม ขณะสังเกตยันต์ภายในโลก เขาพบว่าจักรพรรดิเซียนซู่หัวได้สร้างระบบการฝึกฝนใหม่ภายในโลกวัตถุแห่งนี้
โครงสร้างของยันต์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการฝึกฝนส่วนตัว นี่คือเหตุผลพื้นฐานสำหรับการฝึกฝน เพราะสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไม่มีจุดจื่อฝูภายในร่างกาย
ยันต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเซียนซู่หัวอนุญาตให้ผู้ฝึกยันต์จารึกอักขระเหล่านี้ลงบนร่างกายทีละตัว เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง กักเก็บพลัง และควบคุมพลังลึกลับที่ได้รับมา
วิธีการฝึกฝนนี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่ไป๋ชิวหรานจินตนาการในคราวแรก นั่นคือตอนที่เขาอยู่ในยุคทวยเทพ เขาทุกข์ทรมานจากเส้นทางแห่งเซียนหลังจากเข้าสู่ขั้นมหายาน ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อล่าถอย
ไป๋ชิวหลานยังนึกถึงภาพการสลักยันต์บนร่างกายเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ในคราวนั้น… เขาจารึกยันต์ที่เป็นวิถีแห่งเต๋ายิ่งใหญ่บนจิตวิญญาณของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ การพัฒนาของจักรพรรดิเซียนซู่หัวนั้นน่าจะอยู่ในขั้นเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่ายันต์ของสถานที่แห่งนี้จะได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเท่อหมีซื่อ มหาปราชญ์และมังกรศักดิ์สิทธิ์ เผ่าพันธุ์เหล่านี้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น