ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 439 เจ้าอยากลองศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานหรือไม่
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 439 เจ้าอยากลองศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานหรือไม่
บทที่ 439 เจ้าอยากลองศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานหรือไม่?
บทที่ 439 เจ้าอยากลองศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานหรือไม่?
ไป๋ชิวหรานใช้กระบี่ของตนพาซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานท่องเที่ยวไปรอบโลก
โลกวัตถุนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก… เล็กกว่าเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แต่ก็ยังใหญ่กว่าโลกสังสารวัฏของไป๋ลี่มาก
นอกจากนี้ โครงสร้างของโลกใบนี้ยังแปลกประหลาดเช่นกัน หลังจากเดินทางมาสักพักหนึ่ง ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงเข้าใจว่าโลกใบนี้มีโครงสร้างเปรียบเสมือนต้นไม้ยักษ์
ที่มีลำต้นตั้งอยู่ใจกลางโลก ตั้งตรงจากปฐพีจรดท้องฟ้า ดวงดาวล้อมเปล่งประกายระยิบระยับ ทั้งมหาสมุทรและแผ่นดินของโลกนี้ล้วนแต่เป็นรากหยั่งลึกของต้นไม้ใหญ่ โดยพฤกษายักษ์นี้แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น… แต่ละชั้นยังมีลักษณะแตกต่างกัน
ชั้นล่างเป็นมหาสมุทรและผืนดิน ซึ่งมีเหล่าภูตน้ำและภูตโคลนอาศัยอยู่ ในขณะที่ชั้นบนสุดถูกปกครองด้วยภูตลม ภูตศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนเหล่าราชาภูตกับมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็อาศัยอยู่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน
ในขั้นต้น… โลกเหล่านี้แบ่งแยกออกจากกัน แต่การมาถึงของเทพแห่งยันต์สูงสุดได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทั้งหมดนี้ บันไดถูกสร้างขึ้นด้วยพลังแห่งยันต์เชื่อมต่ออาณาจักรบนล่าง …ประสานโลกทั้งใบไว้ด้วยกัน และอารยธรรมก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น
หลังจากเดินทางไปรอบโลก ไป๋ชิวหรานและพรรคพวกของก็เขามาถึงเมืองแห่งภูตที่อยู่บนจุดสูงสุด ซึ่งมหาปราชญ์จัดที่พักให้กับพวกเขาเป็นการส่วนตัว
ที่พักนี้อยู่ห่างจากวิหารของมหาปราชญ์ไม่มากนัก และทางเข้าที่พักคือทะเลสาบที่นางชอบนั่งสมาธิ แม้ไม่อาจเรียกว่าต้อนรับอย่างอบอุ่น หากกล่าวให้ถูก… ควรจะเป็นการถูกจับตามองเสียมากกว่า
แต่ไป๋ชิวหรานและคนอื่นไม่คิดสนใจ พวกเขามีเจตนาดีจึงพักอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างสบายใจ
หลังไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ย้ายเข้าที่พัก ทุกเช้ามหาปราชญ์ผมทองจะมาที่ริมทะเลสาบด้านหน้าประตู พร้อมกับนั่งสมาธิอย่างเงียบสงบ
ไป๋ชิวหรานพบนางเป็นครั้งคราวเมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า และหากไม่มีอะไรทำ เขาจะมานั่งจับจ้องกระบวนการทำสมาธิของปราชญ์ผู้นี้
ความแข็งแกร่งของมหาปราชญ์เท่อหมีซื่ออยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบแล้ว แต่เพราะไม่มีผู้ใดพัฒนาพลังของยันต์ไปมากกว่านี้ ไม่ว่านางจะฝึกฝนอย่างไร ก็ย่อมไม่แข็งแกร่งขึ้น ถึงกระนั้นนางก็ยังคงรักษาเสถียรภาพ และดูแลพื้นฐานด้วยการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ต้องขอบคุณนางยิ่งนัก เพราะไป๋ชิวหรานสามารถแบ่งแยกวิธีการฝึกฝนทั้งหมดของยันต์จากระดับต่ำไประดับสูงเสร็จสิ้นแล้ว!
“ในเมื่อเส้นทางแห่งการฝึกฝนตีบตันแล้ว เหตุใดจึงไม่คิดหาวิธีอื่นบ้างล่ะ?”
ในที่สุด… เช้าวันหนึ่งไป๋ชิวหรานจึงกล่าวถามมหาปราชญ์เท่อหมีซื่อ
“ท่านมีหนทางอื่นไหม?”
เท่อหมีซื่อกำลังดูดซับพลังแห่งแสงแดดในยามเช้า ยันต์สีทองบนร่างกายพร่างพราวปรากฏบนผิวหนัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น… มหาปราชญ์ผู้นี้จึงเก็บซ่อนยันต์ไว้อีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“อาวุโสไป๋หมายความว่า…”
“อย่างเช่น การศึกษายันต์รูปแบบอื่น หรือหาวิธีอื่นเพื่อฝึกฝน…”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“อาวุโสไป๋คงล้อเล่นแล้ว…”
เท่อหมีซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยันต์ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากเทพแห่งยันต์สูงสุด แล้วเราจะศึกษามันโดยละเอียดได้อย่างไร?”
“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้?”
ไป๋ชิวหรานแย้งขึ้น
“บางทีผู้ที่ค้นคว้ายันต์ในคราวแรกอาจไม่อยู่ในระดับสูงส่งเช่นท่านในเวลานี้”
เท่อหมีซื่อเผยสีหน้าไม่เชื่อถือ
“อย่างไรก็ตาม… เทพแห่งยันต์สูงสุดไม่ได้บอกกล่าวนี่ ว่าไม่ให้ศึกษาสิ่งอื่น”
ไป๋ชิวหรานหยุดครู่หนึ่ง และกล่าวต่อ
“เอาล่ะ… หากเส้นทางนี้ไม่อาจไปต่อได้ แล้วเหตุใดถึงไม่ลองวิธีอื่น?”
“วิธีไหนล่ะ?”
ทัศนคติของมหาปราชญ์ภูตค่อนข้างคับแคบ
“ข้าทราบมาว่านอกจากเทพแห่งยันต์สูงสุดแล้ว ยังมีเทพเจ้าอื่นมากมายในโลกใบนี้ ในหมู่พวกเขามีเทพเจ้านามว่า ‘เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน’ ซึ่งเชี่ยวชาญในการปกป้องวิวัฒนาการพัฒนาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก้าวหน้า อยากลองดูหรือไม่?”
“อาวุโสไป๋!”
การแสดงออกของมหาปราชญ์กลายเป็นเย็นชา ก่อนกล่าวคำเคร่งขรึม
“เรื่องตลกเช่นนี้ข้าไม่อยากรับฟัง!”
“ข้าพูดความจริง”
ไป๋ชิวหรานยังคงยืนกรานหนักแน่น
“ท่านไม่ได้บอกเองหรือ? ว่าเทพแห่งยันต์สูงสุดเปรียบเสมือนอาจารย์ของตน ตอนนี้ท่านเรียนรู้ทุกสิ่งจากอาจารย์แล้ว ถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งอื่น ๆ จากอาจารย์คนใหม่เสียที”
“ถูกแล้ว เทพแห่งยันต์สูงสุดคืออาจารย์ของเรา…”
เท่อหมีซื่อกล่าวจริงจัง
“และพวกเราจะมีอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น!”
“อาจารย์คือผู้สั่งสอน ไม่มีใครกำหนดว่าศิษย์ควรมีอาจารย์เพียงหนึ่งคนในชั่วชีวิต และไม่มีใครกำหนดว่าท่านต้องเชื่อฟังเทพแห่งยันต์สูงสุดเท่านั้น แม้แต่เทพแห่งยันต์สูงสุดก็ยังไม่เคยกล่าวเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวโน้มน้าวเท่อหมีซื่อ
“อย่าหาว่าข้าล่วงเกินมหาปราชญ์เลย… โลกใบนี้กำลังเผชิญกับภัยคุกคามของอสูร! เป็นอสูรเหล่านั้นนอกโลกที่หลั่งไหลเข้ามาภายในโลกใบนี้เมื่อใดก็ได้! พวกมันจะทำลายโลกใบนี้ตามใจต้องการ เวลาเช่นนี้… สิ่งที่ท่านควรทำคือรักษาอารยธรรมของตนเอาไว้ แทนที่จะหยุดนิ่งและจมปลักอยู่กับเหตุผลตื้นเขิน… ก็เพียงเท่านี้ เอาล่ะ มหาปราชญ์ก็ลองไตร่ตรองดู!”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินกลับสู่บ้านพักเพื่อปลุกเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ย หลังจากก้าวออกไปสองสามก้าว เขาก็หยุดและกล่าวเสริม
“หากมหาปราชญ์สนใจวิธีที่ข้าบอกกล่าว ก็สามารถมาพบข้าได้เสมอ… ข้ายินดี”
“หรือจะปิดผนึกตนเองก็แล้วแต่ท่าน…”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานหายลับไปจากสายตา เท่อหมีซื่อก็ถอนสายตาจากแผ่นหลังของเขาสลับกับยันต์เจือจางที่อยู่บนฝ่ามือ
ยันต์ศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายสีทองสลัวกะพริบบนมือเบาบาง ยันต์ที่นางฝึกฝนสำเร็จครั้งแรกในชีวิตเป็นตัวแทนของ ‘ลำแสงอ่อนโยน’ ในระหว่างที่นางเติบโตขึ้น จากภูตตัวน้อยสู่มหาปราชญ์ ลำแสงของยันต์นี้ยังคงส่องแสงอย่างนุ่มนวลไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“อารยธรรมย่อมต้องการความก้าวหน้า…”
มหาปราชญ์มองไปไกลก่อนจะประสานมือ
“ท่านเทพ พวกเราหลงลืมคำสอนของท่านหรือไม่?”
…
“ที่นี่รึ?”
นอกโลกวัตถุ… ภายในเขตแดนจิตสำนึกว่างเปล่า อาจารย์อสูรน่าเกลียดน่ากลัวทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มรวมตัวกันรอบโลกวัตถุของไป๋ชิวหราน
“แน่ใจหรือว่าเรื่องไม่ชอบมาพากลที่เขตแดนได้มาหยุดอยู่ในโลกใบนี้?”
อาจารย์อสูรสองสามตนกระซิบกัน จิตสำนึกของพวกมันก่อความโกลาหลและบ้าคลั่งในอากาศ
“เป็นที่นี่แน่นอน! ข้าเห็นว่าพวกมันพุ่งเข้าไปข้างในพร้อมร่วงหล่นจนพังทลายกับตาของตนเอง!”
อาจารย์อสูรเบิกตากว้างพร้อมกับหันมาจับจ้องโลกวัตถุตรงหน้า
“แม้แต่ผู้ที่ครอบครองพื้นที่แห่งนี้เดิมทียังตายตก… อารยธรรมของโลกวัตถุนี้ไปถึงขั้นสูงสุดแล้วหรือ?”
“พวกมันทำสำเร็จแล้ว!”
ความโลภของอาจารย์อสูรก่อให้บรรยากาศหนักอึ้ง
“ทำไมพวกเราไม่…”
“นำมันมาให้ข้า!”
ในเวลานี้ ณ ส่วนลึกของอาณาจักรที่ห่างไกล คลื่นจิตสำนึกทรงพลังและน่าสะพรึงพุ่งทะยานเข้ามาหา สุรเสียงทรงอำนาจกังวานผ่านส่วนลึกของจิตใจอาจารย์อสูรเหล่านี้
“ต่อให้โลกใบนี้จะถูกทำลายและกลืนกิน ก็รายงานให้ข้ารู้ว่าสิ่งที่บุกเข้าสู่เขตแดนของพวกเราคืออะไร!”
“รับทราบ!!”
อาจารย์อสูรสองสามตนสั่นสะท้านอย่างหวาดหวั่น เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่สุดที่ส่วนลึกของจิตสำนึกจะรับรู้ได้ ทั้งหมดต่างก้มใบหน้าลงพร้อมกับเผยท่าทีโอนอ่อนในทันที…