ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 443 สายใยจิตสำนึกภายในมิติแห่งเงา
บทที่ 443 สายใยจิตสำนึกภายในมิติแห่งเงา
บทที่ 443 สายใยจิตสำนึกภายในมิติแห่งเงา
“มันถูกเรียกว่ามิติแห่งเงางั้นหรือ?”
เมื่อเดินทางเข้ามาด้านใน ซูเซียงเสวี่ยก็มองทุกสิ่งตรงหน้าพร้อมกล่าวถามเสียงอ่อน
โลกทั้งใบเบื้องหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเงามืด…
สถานที่ที่พวกเขาเข้ามาคือหุบเขาแห่งหนึ่งในชายแดนของโลกวัตถุ ตอนนี้หลังจากเข้าสู่มิติแห่งเงาแล้ว ภูมิประเทศตรงหน้าจึงเหมือนกับหุบเขาที่พวกเขาเข้ามา เพียงแค่มันกลับด้านและอยู่ในความมืดดำ
ภูเขาเป็นเงา สายน้ำเป็นเงา ต้นไม้เล่าก็เป็นเพียงเงา แม้แต่นกที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ หรือสัตว์ตัวน้อยที่วิ่งอยู่บนพื้นดินก็ล้วนเป็นเงาทั้งสิ้น
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าซวี่เซียงจะชอบมาเล่นอยู่ในสถานที่เช่นนี้”
เจียงหลานมองโลกที่ปกคลุมด้วยเงาสีดำภายใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับถอนหายใจ
“เอาน่า… ภรรยาเอ๋ย อย่าได้หวาดกลัวเลย”
“นิสัยนั้นมันเป็นมรดกจากพวกเราทั้งสิ้น!”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับพวกนาง
“เจ้าไม่หวาดกลัวอสรพิษหรือแมงป่องที่เหล่าสตรีทั่วไปกลัวใช่หรือไม่? แล้วเจ้ายังชอบเล่นกับพวกมันด้วย”
“…ก็เป็นเช่นนั้น”
เจียงหลานไตร่ตรอง
“ก็ตามที่กล่าว ซวี่เซียงเป็นบุตรสาวของเราจริง ๆ นั่นแหละ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุย พวกเขาไม่ได้สังเกตสถานการณ์โดยรอบ เวลานี้ซูเซียงเสวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะร้องตะโกนออกมา
“ชิวหราน! เจียงหลาน! ดูนั่น!!”
ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที
“มันคืออะไร?”
เจียงหลานถามด้วยความตื่นตระหนกหลังเห็นสิ่งที่อยู่บนท้องนภา
ท้องฟ้าเหนือมิติแห่งเงามีทุ่งสีสันสดใส เมื่อมองผ่านสายตาของจักรพรรดิเซียนจากเขตซากปรักหักพังหวนคืนของเจียงหลานแล้ว นางจึงเห็นอวนหลากสีนับไม่ถ้วนที่ไม่เหมือนกับสิ่งของภายในมิติแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามิติแห่งเงาทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันอยู่ตรงนั้น
“นั่นคือเขตแดนจิตสำนึก!”
ไป๋ชิวหรานมองดูตาข่ายหลากสีสันบนท้องฟ้าก่อนจะกล่าวเสียงเบา
“ที่ว่า ‘ซ่อนอยู่ภายใต้เงาเขตแดนจิตสำนึก’ นี่ไงสิ่งที่เขาหมายถึง! ซูหัว เด็กคนนี้ใช้จุดบอดของเขตแดนจิตสำนึกเพื่อเข้าสู่มิติแห่งเงา เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่รึ?”
ควรมีเหตุผลที่จะเกิดเงาภายในมิติแห่งเงา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโลกที่อิสระและไม่เกี่ยวข้องกับโลกอื่น ๆ ไม่มีมิติแห่งเงาของโลกใดที่เชื่อมต่อกันได้!
หากออกจากมิติแห่งเงา ก็จะกลับสู่ดินแดนรกร้างไร้สิ้นสุดล้อมรอบ…
ด้วยวิธีนี้ แม้จักรพรรดิเซียนซูหัวจะเชี่ยวชาญการเปิดมิติแห่งเงา แต่เขาจะไม่มีทางออกจากมิติแห่งเงาปัจจุบันได้ ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในมิติแห่งเงาภายในโลกนั้น ๆ
เพราะตราบใดที่เขาออกจากที่นี่ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับเขตแดนจิตสำนึกที่ปั่นป่วนภายในความว่างเปล่า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอาจารย์อสูรนับไม่ถ้วน!
แต่ในความว่างเปล่าเหล่านี้มีความพิเศษบางอย่าง… เช่นเขตแดนจิตสำนึกคือสิ่งที่เชื่อมโยงกับโลกใบนี้ หลังจากได้ศึกษาและวิเคราะห์มันโดยเซียนผู้เชี่ยวชาญหลายคนภายในแดนเซียน ในที่สุดพวกเขาจึงพบว่านี่คือแดนเซียนประเภทหนึ่ง แต่มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับวิถีแห่งฟ้าดิน และเป็นพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างพิเศษ
ไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ กุญแจสำคัญคือตาข่ายเชื่อมโยง เหล่าอสูรที่ต้องการย้ายระหว่างโลกเข้าสู่มิติแห่งเงาภายในจิตสำนึกย่อมทำได้
แม้ว่าเขาจะอ่อนแอและหาตัวพบได้ยาก แต่จักรพรรดิเซียนซูหัวกลับคิดค้นได้ยอดเยี่ยม เขาเปิดช่องมิติระหว่างเขตแดนจิตสำนึกและมิติแห่งเงา จากนั้นจึงใช้เขตแดนและทุ่งแห่งจิตสำนึกเหล่านี้ช่วยบดบังมิติเงาภายในเอาไว้
ด้วยวิธีนี้ เขาจึงสามารถสร้างสะพานที่สามารถข้ามไปมาระหว่างมิติแห่งเงาโดยไม่ต้องเดินทางผ่านห้วงความว่างเปล่า…
เขตแดนจิตสำนึกในความว่างเปล่าเป็นสะพานที่เชื่อมต่อกับอาจารย์อสูร ทั้งหมดคือเครือข่ายจิตสำนึกที่พวกมันรับรู้การเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่จักรพรรดิเซียนซูหัวกระทำคืออยู่ในมิติแห่งเงา มันคือด้านหลังของเขตแดนจิตสำนึกในความว่างเปล่า… กล่าวโดยสรุป อาจารย์อสูรเดินอยู่บนสะพาน และจักรพรรดิเซียนซูหัวเดินอยู่ใต้สะพาน
“ศิษย์ผู้นี้มีความคิดยิ่งใหญ่นัก!”
ไป๋ชิวหรานมองเครือข่ายจิตสำนึกแห่งเขาบนท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“เอาล่ะ! เราน่าจะพบสถานที่เหมาะสมแล้ว จักรพรรดิเซียนซูหัว… หรือเทพแห่งยันต์สูงสุด เขาควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในเขตแดนแห่งเงาบนท้องฟ้านั่น!”
ไป๋ชิวหรานเรียกกระบี่บินออกมาทันที! ก่อนที่เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยจะพุ่งตรงสู่เขตแดนแห่งจิตสำนึกบนท้องฟ้าด้วยกัน
พวกเขาเคลื่อนที่ไปตามเขตแดนจิตสำนึกที่อยู่ภายในมิติแห่งเงานี้ ตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ จนพบเส้นทางที่มีลมปราณหนาแน่นมากที่สุด …ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเซียนซูหัวจะอยู่ในใจกลางของดินแดนแห่งนี้
หลังไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เข้ามาภายในมิติเงาสักครู่หนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนาน รอยแยกก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบงันตรงสถานที่ที่พวกเขาเข้ามา
อีกฟากหนึ่งของรอยแยก หนวดสีแดงฉานจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียดตัวเข้ามาภายใน มันเปิดรอยแยกมิติออก จากนั้นจึงพยายามยัดลูกตาเข้ามาข้างใน และมองดูโลกที่มืดมิดนี้อย่างเงียบ ๆ
หนวดเส้นหนึ่งยื่นเข้ามาภายในมิติแห่งเงา ปลายหนวดเผยรูจมูกสูดเอาอากาศหายใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันจะพยายามดมกลิ่นของสถานที่แห่งนี้ จากนั้นหนวดจึงหลุดออกจากร่างกาย… ก่อนแยกชิ้นส่วนเป็นลูกทรงกลม ๆ เล็ก ๆ นับไม่ถ้วน และพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบน
…
วารีสารทกระจ่างฟ้ากลายเป็นลำแสงไฟหอบหิ้วไป๋ชิวหรานและพวกพ้องของเขาแล่นผ่านพื้นที่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
บางครั้งมีเงาแปลกประหลาดลอยอยู่บนมิติแห่งเงานี้ ทั้งหมดเป็นเงาของเหล่าอาจารย์อสูรภายในห้วงความว่างเปล่า และเขตแดนจิตสำนึก
บางเงาที่เล็กกว่าถูกเงาที่ใหญ่กว่ากลืนกิน… เมื่อกินเข้าไปก็จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น
และเมื่อไป๋ชิวหรานกับคนอื่น ๆ ก้าวผ่านตาข่ายจำนวนมาก พวกเขายิ่งพบเจอสายใยจิตสำนึกที่หนาแน่นมากขึ้น มันเปรียบเสมือนแกนกลางของใยแมงมุม ยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลางมากเท่าไหร่ ใยแมงมุมก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านมาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงมาถึงแก่นแท้ของเขตแดนจิตสำนึกแห่งมิติเงา
มันคือมิติแห่งเงาที่ปกคลุมไปด้วยเขตแดนจิตสำนึกหลากสีสันงดงาม ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่กว้างใหญ่สุดลุกหูลูกตา ดังนั้นแกนกลางของมันจึงคล้ายกับไข่มุกที่ส่องประกายเจิดจ้าในมิติแห่งเงานี้
“ในที่สุดก็พบเสียที”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาอัดฉีดพลังปราณแก่นแท้เข้าสู่วารีสารทกระจ่างฟ้า แล้วเร่งทะยานเข้าสู่แกนกลางหลักที่คล้ายกับไข่มุก
อย่างไรก็ตาม พลันปรากฏแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นในอากาศ มันพุ่งเข้าหาไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ
“นั่นอะไรกัน?!”
เจียงหลานยืนอยู่ด้านหน้าไป๋ชิวหราน ชายหนุ่มจึงยื่นแขนข้ามศีรษะของนางไปจัดการกับลำแสงสีขาวเมื่อครู่โดยตรง
ลำแสงสีขาวร่วงหล่นและตกลงสู่พื้น จากนั้นก็หลุดออกไปนอกเขตมิติแห่งเงา หลังจากที่มันแตกออกเป็นสองถึงสามส่วน กลายเป็นว่านั่นคือกระบี่เย็นเยือกเปล่งประกายสีเงิน!