ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 444 ซู่หัวถูกข้ากลืนกิน
บทที่ 444 ซู่หัวถูกข้ากลืนกิน
บทที่ 444 ซู่หัวถูกข้ากลืนกิน
“ค่ายอาคมกระบี่?”
เมื่อมองเห็นกระบี่เซียนสองสามเล่มบนพื้น ไป๋ชิวหรานตกตะลึงครู่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง ภายในความว่างเปล่าใกล้กับมิติแห่งเงา พลันมีลำแสงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ลูกทรงกลมเวทลึกลับ และกระบี่เซียนมากมายพุ่งออกจากลูกทรงกลมเหล่านั้น มันกลายเป็นลำแสงสีขาวพิฆาตเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง นับว่าเป็นค่ายอาคมสังหารอันอำมหิตยิ่งนัก มันพุ่งทะยานเข้าหาไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ
ใบมีดของกระบี่เซียนแต่ละเล่มถูกปกคลุมไว้ด้วยพลังปราณสีทองและพลังเซียน เมื่อคมประบี่พุ่งทะยาน พลังปราณสีทองเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่แผ่กระจายออกในทุกทิศทางด้วยพลังอันน่าพรั่นพรึง
“เป็นค่ายอาคมที่ทรงพลังจริง ๆ!”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ดูท่าแล้วจะระวังตัวไม่น้อย”
“ที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ภายในนี้ ทุกคนล้วนเป็นศัตรู ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวรวดเร็ว
“จักรพรรดิเซียนซู่หัวน่าจะเชื่อว่าไป๋ลี่ในฐานะอาจารย์ของเขาจะสามารถทำลายค่ายอาคมสังหารที่เขาทิ้งไว้ได้อย่างแน่นอน… ระวัง ค่ายอาคมกระบี่เปิดฉากโจมตีแล้ว!”
ปราณกระบี่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นชัดถึงความชำนาญกระบี่ของจักรพรรดิเซียนซู่หัว มันสูงมากและใกล้เคียงกับจักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ มีปราณกระบี่มากมายหลายพันวงโลดแล่น แต่ละเล่มล้วนแต่มีวิถีกระบี่ของตนเอง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นทักษะยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามทั้งหมดจับคู่กันอย่างลงตัว ทั้งความปราดเปรียว ท่วงท่างดงาม และพลังอันน่าสะพรึง ทั้งหมดก่อตัวเป็นค่ายอาคมสังหารที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งยากที่จะต้านทานได้
ปรมาจารย์กระบี่เช่นไป๋ชิวหรานยังต้องยอมรับว่าเขาแทบจะไม่พบข้อบกพร่องใดภายในค่ายอาคมกระบี่นี้เลย จักรพรรดิเซียนซู่หัวช่างน่าประทับใจอย่างแท้จริงแล้ว
หากเขาพอมีเวลาสักหน่อย เขาน่าจะสามารถค้นหาหนึ่งหรือสองคนได้ แต่ค่ายอาคมสังหารนี้กลับไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสได้พักหายใจ
“อย่างไรก็ตาม หากมีเพียงแค่ค่ายอาคมกระบี่เท่านี้ มันยังไม่เพียงพอ”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นก่อนจะกระชับกระบี่ในมือ ก่อนปราณกระบี่พุ่งตรงตัดผ่านค่ายอาคมโดยไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
“ความจริงแล้ว… ท่านอาจารย์ เราควรลองดูสักหน่อย!”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ที่อยู่ภายในจิตสำนึกของไป๋ชิวหรานกล่าวขึ้น
“ข้าคุ้นเคยกับวิธีที่เด็กผู้นี้สร้างขึ้น ค่ายอาคมที่เขาสร้างมักจะจงใจทิ้งข้อบกพร่องให้ข้าคอยแก้ไขเสมอ!”
“แล้วมีเวลามานั่งหาข้อบกพร่องหรือไร?”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ยึดให้มั่น! หลานเอ๋อร์ เซียงเสวี่ย ข้าจะไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเซียงเสวี่ยก็โอบกอดรอบเอวของไป๋ชิวหราน และเจียงหลานก็ยืนอย่างมั่นคง จากนั้นวารีสารทกระจ่างฟ้าเร่งความเร็วจนกลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานเข้าสู่แกนกลางของมิติแห่งเงา
แน่นอนว่าการป้องกันที่ถูกจักรพรรดิเซียนซู่หัวสร้างขึ้นไม่ได้มีเพียงค่ายอาคมกระบี่ เมื่อวารีสารทกระจ่างฟ้าเริ่มเร่งความเร็ว ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันระเบิดออกกลายเป็นทะเลเพลิง เมื่อแรงลมกระโชกที่ถูกปลดปล่อยออกจากวารีสารทกระจ่างฟ้าพัดผ่าน เปลวเพลิงเหล่านี้ก็ยิ่งลุกลามไปทุกหนแห่งในทันที
อย่างไรก็ตาม เจียงหลานร่ายเวทอัญเชิญวารีลึกลับออกมา กลายเป็นมหาสมุทรถาโถมทะเลเพลิงจนมอดดับไป
วารีสารทกระจ่างฟ้าพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และทันใดนั้นก็ปรากฏวิญญาณประหลาดที่รวมตัวกันอยู่ใกล้ ๆ แผ่จิตสังหารแรงกล้าขยายออกมา ก่อตัวเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย
ไป๋ชิวหรานพ่นลมหายใจเย็นชา แรงกดดันของจิตสังหารรุนแรงก่อนหน้าสลายไปทันที ร่างกายของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็สูญสลายไปด้วยเช่นกัน
มีหอคอยและศาลาลอยฟ้า บนศาลามีสระสุราและป่าเนื้อหนัง ภายในมีทั้งบุรุษและสตรีงดงามมากมาย เป็นบรรยากาศที่น่าดึงดูดใจหาใดเทียบ
“ไปให้พ้น!”
คิ้วของซูเซียงเสวี่ยย่นอย่างช่วยไม่ได้ นางปลดปล่อยย่างก้าวภูตพรายออกมา ซึ่งเพราะจักรพรรดิเซียนซู่หัวไม่ได้ใช้พลังเซียนปกครองสถานที่แห่งนี้ มันจึงถูกทำลายง่ายดายโดยผู้นำแห่งสำนักเหอฮวน
จากนั้น วารีสารทกระจ่างฟ้าก็พุ่งทะยานไปด้านหน้า ก่อนที่ค่ายอาคมสังหารมากมายจะปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน บ้างก็เป็นสายลมถลกหนัง บ้างก็เป็นดวงดารามุ่งร้าย ทั้งยังมีประตูมิติมากมายที่เชื่อมโยงกับสถานที่แปลกประหลาด ตลอดจนความแปรผันของมิติ พายุแห่งความว่างเปล่า และสิ่งอันตรายอื่น ๆ ต่างพุ่งเข้าโจมตี อีกทั้งจักรพรรดิเซียนซู่หัวยังนำเอาส่วนหนึ่งของสายธารแห่งความว่างเปล่ามาเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแกนกลางของมิติแห่งเงาด้วย
แต่ทุกสิ่งก็ถูกทำลายโดยวารีสารทกระจ่างฟ้าภายใต้อำนาจของผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานเสมือน
ในที่สุดวารีสารทกระจ่างฟ้าก็บุกทะลวงเข้าสู่แกนกลางของมิติแห่งเงา ลำแสงกระบี่บินพาไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ย และเจียงหลานร่อนลงก่อนจะเลือนหายไป
ทั้งสามหยุดยืนบนพื้นภายในมิติแห่งเงา แต่นอกเหนือจากเงาเหล่านี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดยังถูกปกคลุมไว้ด้วยชั้นเขตแดนจิตสำนึกอันบางเบา เห็นได้ว่าอารยธรรมที่อยู่บนโลกภายนอกมิติแห่งเงาควรจะอยู่ในจุดที่รุ่งโรจน์เพียงใด มันไม่ได้ด้อยไปกว่าเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินก่อนพบเจอภัยพิบัติจากเผ่ามารเลย
มีสถาปัตยกรรมสูงใหญ่มากมายที่สร้างขึ้นจากเงา เมืองนี้ตั้งตระหง่านบนพื้นดิน โดยมีเงาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ หรือวัตถุอื่น ๆ นับไม่ถ้วนเดินเข้าออกจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ จนมีบรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
บนท้องฟ้ามีแม้กระทั่งเงาของเรือเหาะหลายลำ เรือเหาะที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวกว่าหลายจั้ง ขนาดเทียบได้กับเรือรบย่อม ๆ ของกองเรือแห่งแดนเซียน
ความรุ่งเรืองของโลกวัตถุแห่งนี้ถูกเหล่าอาจารย์อสูรลบล้างจนหมดสิ้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจทราบ เหล่าอาจารย์อสูรทำลายยังไม่ทำลายมิติแห่งเงานี้
“ในที่สุดท่านก็มาถึงที่นี่”
ขณะที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ มองดูโดยยรอบ พลันมีเสียงสตรีเย็นชาดังขึ้นจากระยะใกล้
ไป๋ชิวหรานกับคนอื่น ๆ หันมองตามเสียง และพบว่าภายในเขตแดนจิตสำนึกของมิติแห่งเงา มีลำแสงควบแน่นคล้ายกับดอกบัวตูมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ดอกบัวตูมขยายออกก่อนจะแบ่งบาน ในส่วนของเกสรดอกไม้มีสตรีผอมเพรียวผู้หนึ่งยืนอยู่
ลักษณะภายนอกของสตรีผู้นี้แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ดวงตางดงามราวนกเฟิงหวง ริมฝีปากกระจับได้รูป จมูกเรียวยาว ขนตาหนางดงาม กายาสวมอาภรณ์เผยไหล่ขาว และทรวงทรงโค้งเว้าได้สัดส่วน บนศีรษะยังมีเครื่องประดับหรูหรา และกงล้อศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวสีแดงจาง ๆ ปรากฏระหว่างคิ้ว โดยรวมแล้วสตรีผู้นี้ไม่ต่างอะไรจากเทพธิดาหลุดออกจากภาพวาด
ทว่าส่วนสูงของนางนั้นมากเกินไป นางสูงราวสิบจั้ง เรียกว่ายักษ์ก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก!
สตรีผู้นี้ไม่ได้สวมใส่สิ่งใดใต้กระโปรง ต้นขาเรียวยาว น่องนวลขาวเบียดเสียด และสิ่งที่บอบบางราวกับหยกถูกเผยออกสู่สายตาหมดสิ้น
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นกะทันหัน เขารีบปรับระดับสายตาทันทีเพื่อหลบเลี่ยงช่องแคบตรงหน้า ชายหนุ่มจับจ้องใบหน้าสตรีผู้นี้อย่างมั่นคง
“อาจารย์อสูร?”
หลังจากจ้องมองสตรีผู้นั้นอยู่สักครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานก็คาดเดาตัวตนของนางได้
“อาจารย์อสูรเช่นเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร? เจ้ารู้จักจอมเทพแห่งยันต์หรือ? แล้วจักรพรรดิเซียนซู่หัวอยู่ที่ใด? เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หรือไร?”
เขาตั้งคำถามมากมาย และกล่าวออกมารวดเดียว
“ถูกต้องแล้ว… ข้าเป็นอาจารย์อสูร และนามของข้าคือโหรวเย่วหมิง”
อาจารย์อสูรสตรีมักจะงดงาม และค่อนข้างเรียบร้อย พวกนางไม่ละโมบหรือป่าเถื่อนเช่นเดียวกับอาจารย์อสูรชาย
“ข้าเดินอยู่ภายในโลกแห่งวัตถุในฐานะจอมเทพแห่งยันต์ หรือเรียกว่าเป็นครึ่งหนึ่งของจอมเทพแห่งยันต์ก็ว่าได้.. ส่วนซู่หัวที่เจ้าถามหา โชคร้ายนัก… เจ้ามาช้าเกินไป”
นางยืดตัวตรงก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา
“ซู่หัวถูกข้ากลืนกินสิ้นแล้ว”