ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 445 จักรพรรดิเซียนและอาจารย์อสูร
บทที่ 445 จักรพรรดิเซียนและอาจารย์อสูร
บทที่ 445 จักรพรรดิเซียนและอาจารย์อสูร
“อะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของโหรวเย่วหมิง ไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ย และเจียงหลานยังไม่ทันกล่าวอะไร แต่จักรพรรดิเซียนองค์แรกที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของไป๋ชิวหรานกลับพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว!
เขามองสตรีร่างสูงผู้นี้ด้วยความขุ่นเคือง ราวกับไม่แยแสความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างเขากับร่างจำแลงอาจารย์อสูรของตนเอง ก่อนจะถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
“มันหมายความว่าตอนนี้… เขาอยู่ในร่างกายของข้าแล้ว”
โหรวเย่วหมิงกล่าวพร้อมเหลือบมองลงต่ำ
“เจ้าเป็นอาจารย์ของซู่หัวหรือไม่? ข้าเพิ่งได้รับชมว่าเจ้าทำลายค่ายอาคมที่เขาพยายามก่อสร้างมานานกว่าหลายปีพังทลายลงในคราวเดียว”
นางกล่าวถามไป๋ชิวหราน
“ไม่ใช่ข้า” ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ ก่อนจะชี้ไปที่จักรพรรดิเซียนองค์แรกแล้วกล่าวว่า “เป็นเขา”
โหรวเย่วหมิงมองจักรพรรดิเซียนองค์แรกอย่างระมัดระวังอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า
“ซู่หัวบอกว่าอาจารย์ของเขาคือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้าล่ะ?”
“อะไร?”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกเลิกคิ้ว
“ข้าไม่อาจเป็นเหมือนพวกเจ้าได้หรือไร?”
“ดูเหมือนว่าตลอดเจ็ดหมื่นปีที่ผ่านมา สิ่งต่าง ๆ ภายในโลกอีกฝั่งดูจะพัฒนาขึ้นมาก”
โหรวเย่วหมิงถอนสายตาก่อนจะกล่าวคำ
“คราวแรก ซู่หัวบอกข้าว่าเขากังวลมาก หลังจากที่อาจารย์ของเขาเสียสละตนเองเพื่อปิดกั้นรอยแตกของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ แดนเซียนจะไร้ซึ่งผู้ปกครอง และศิษย์น้องก็ยังไม่โตพอที่จะปกครองอำนาจยิ่งใหญ่นั้น แต่ดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะสามารถเอาชนะสิ่งต่าง ๆ ได้แล้ว”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น!”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกเริ่มสงบลง เขาเหลือบมองไป๋ชิวหราน
“เจ้ากับซู่หัวดูสนิทสนมกันไม่น้อย ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าคืออะไร? แล้วมีสิ่งใดที่สามารถอธิบายแก่พวกข้าบ้าง?”
“หากกล่าวในมุมมองของพวกเจ้าแล้ว ข้าสมควรถูกเรียกว่าคนรักของเขา”
โหรวเย่วหมิงกล่าวเสียงต่ำ
“ข้าอยู่ที่นี่… เพื่อที่จะรอบอกกล่าวทุกสิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังให้กับพวกเจ้าทราบแน่นอน”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ โหรวเย่วหมิงได้บอกกล่าวกับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวได้กระทำมาตลอดเจ็ดหมื่นปีที่ผ่านมา
หลังจากที่การต่อสู้ครั้งแรกของอาจารย์อสูร ในฐานะสมาชิกของกองกำลังเซียน จักรพรรดิเซียนซู่หัวและจักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศในเวลานั้นพยายามปกปิดจิตวิญญาณของจักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ และเพื่อปิดกั้นช่องว่างภายในเขตแดนจิตสำนึก เขาจึงอาสาที่จะอยู่ด้านหลังของเขตแดนจิตสำนึกแห่งนี้
หลังจากที่สู้รบอย่างดุเดือด จิตวิญญาณของจักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่สามารถผนึกรอยร้าวบนกำแพงแห่งความตระหนักรู้ได้สำเร็จ และจักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศตายตกในสนามรบ ส่วนจักรพรรดิเซียนซู่หัวรอดพ้นจากความตายได้ เพราะทักษะการหลบหนีที่ยอดเยี่ยม
หลังจากที่เขาทราบว่าไร้ซึ่งหนทางกลับบ้านเกิด จึงร่อนเร่อยู่ในเขตแดนจิตสำนึกแห่งนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิเซียนซู่หัวไม่ใช่ผู้ที่ยอมแพ้โดยง่าย เขาทราบดีว่าเหตุผลที่ไม่สามารถกลับไปได้ เพราะไร้ซึ่งหนทางที่จะสังหารอาจารย์อสูรขั้นเหนือเซียนได้
เหตุผลที่ไป๋ลี่ปิดกั้นกำแพงแห่งความตระหนักรู้คือเพื่อป้องกันไม่ให้เขตแดนจิตสำนักเหล่านี้แพร่ระบาดเข้าสู่แดนเซียนจนรุกรานดินแดนทั้งหมด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามระหว่างแดนเซียนกับเหล่าอสูร เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่จะพังทลายลงก่อนผู้ใดก็คือแดนเซียน แต่หากมีวิธีการกำจัดอาจารย์อสูรแล้ว แดนเซียนก็สามารถเริ่มโจมตีได้! จักรพรรดิเซียนองค์แรกได้ผนึกรอยร้าวไว้เพื่อรอคอย ส่วนจักรพรรดิเซียนซู่หัวก็จะได้กลับสู่บ้านเกิดของเขาหากทำสำเร็จ
ดังนั้นในระหว่างการหลบหนีการถูกตามล่าจากหกอสูรแห่งความปรารถนาและอาจารย์อสูรตนอื่น ๆ เขาจึงเดินเข้าสู่โลกวัตถุต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดทักษะให้กับสิ่งมีชีวิตพื้นเมือง ให้เรียนรู้ภูมิปัญญา และจุดไฟอารยธรรมให้กับพวกเขาไปพร้อมกับการคิดหาวิธีที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อาจารย์อสูรอยู่เสมอ
ด้วยเหตุผลนี้ ในปีที่สามร้อย จักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงตัดสินใจเสี่ยงสร้างอาจารย์อสูรของตนเองขึ้นมา
เขาปลดปล่อยความคิดของตนเองและเริ่มเข้าสู่เขตแดนจิตสำนึก แต่บางที… จักรพรรดิเซียนซู่หัวก็หมกมุ่นอยู่กับแดนเซียนมากเกินไปเมื่อครั้งถือกำเนิด โหรวเย่วหมิงจึงเกิดเป็นอาจารย์อสูรจากความงดงามทั้งหมดในจิตใจของเขา
สำหรับอาจารย์อสูรที่มีความคิดถึงบ้าน มีพลังเซียน และเป็นผู้คลั่งไคล้คุณธรรม จักรพรรดิซู่หัวจึงตั้งชื่อให้กับนางว่าโหรวเย่วหมิง และให้นางอยู่กับเขาตลอดเวลา
เดิมทีโหรวเย่วหมิงที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นสืบทอดความปรารถนาและความขุ่นเคืองของเหล่าอสูรทั้งหมด นางพยายามกลืนกินจักรพรรดิเซียนซู่หัวในฐานะศัตรูคนแรกทันที!
แต่โหรวเย่วหมิงถูกจักรพรรดิเซียนซู่หัวควบคุม และปราบปรามอย่างรวดเร็ว
หลังจากล้มเหลวที่จะใช้ความรุนแรง นางจึงเริ่มที่จะหลอกล่อแทน แต่จักรพรรดิเซียนซู่หัวก็ไม่ตกหลุมพรางแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ถูกอาจารย์อสูรไล่ตาม ตลอดมาจักรพรรดิเซียนซู่หัวมักจะเอาชนะอสูรที่บุกเข้ามา แล้วปลดปล่อยโซ่ตรวนของโหรวเย่วหมิงให้นางสามารถกลืนกินวิญญาณและแนวคิดจากซากอาจารย์อสูรเหล่านั้นได้
เมื่อโหรวเย่วหมิงกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นแล้ว จักรพรรดิเซียนซู่หัวก็จดบันทึก ค้นคว้า และคิดหาหนทางต่อไปเสมอ
การคิดค้นนี้กินเวลาเกือบสองหมื่นปี ภายในระยะเวลานั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง โหรวเย่วหมิงได้กลายเป็นอาจารย์อสูรที่มีสติปัญญาขึ้นมา… และค่อย ๆ เริ่มสัมผัสถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ความปรารถนา หากจักรพรรดิเซียนซู่หัวเปลี่ยวเหงา เขาสามารถพูดคุยกับอาจารย์อสูรที่เขาสร้างขึ้นเช่นนางได้
อาจเป็นเพราะทั้งสองโดดเดี่ยวเหมือนกัน เมื่อวันเวลาผ่านไป วันหนึ่งจักรพรรดิเซียนซู่หัวและโหรวเย่วหมิงจึงเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นคู่รักระหว่างเซียนและอสูร
“หลังจากหลอมรวมกันแล้ว ซู่หัวได้ค้นพบว่าเขาและข้ายังคงมีความแตกต่างกัน ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีกายเนื้อกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นเพียงความปรารถนา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดที่จะค้นคว้าเรื่องของอาจารย์อสูรเลย”
โหรวเย่วหมิงกล่าวเสียงแผ่วเบา
“จากนั้นเมื่อประมานสี่หมื่นห้าพันปี ซู่หัวบอกข้าว่า… เขาค้นพบเขตแดนจิตสำนึกแล้ว และต้องการไปสังเกตการณ์ที่นั่น โดยขอให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเขาชั่วคราว สำหรับซู่หัวแล้ว เขาต้องการให้ข้าปกป้องทุกสิ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้”
“หลังจากข้าตกลง เขาก็จากไป ส่วนข้าก็เพียงเฝ้ารอเขากลับมา สองร้อยปีต่อมา ซู่หัวกลับมาตามสัญญา แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายจากไป…”
คราวนี้โหรวเย่วหมิงเงียบอยู่นานก่อนที่จะสงบอารมณ์และกล่าวต่อ
“ข้าได้ทราบว่าตำแหน่งของเขาถูกค้นพบ และทันทีที่ออกไป ก็ถูกเหล่ากองทัพอาจารย์อสูรไล่ล่าอย่างหนัก แม้ว่าจะประสบความสำเร็จที่สามารถหลบหนีมาได้ แต่เวลาของเขามีน้อยเกินไป ซู่หัวบอกข้าว่าเขาใช้เวลาสองร้อยปีในการทิ้งสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดไว้ที่นอกเขตแดนจิตสำนึก เพื่อจัดการกับเหล่าอาจารย์อสูร และตัวเขาเองค่อยกลับมาหาข้าพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย”
“ข้าไม่สามารถฝึกฝนเช่นเดียวกับเขาได้ และข้าไม่มีความสามารถในการรักษา เช่นนั้นจึงทำได้เพียงเฝ้ามองเขาตายในลมหายใจสุดท้าย ก่อนที่ซู่หัวจะจากไป เขาขอร้องให้ข้ากินวิญญาณของเขา เพราะไม่ต้องการให้ถูกอาจารย์อสูรตนอื่นกลืนกิน… นอกจากข้า”
โหรวเย่วหมิงก้มศีรษะลงและเอื้อมมือลูบท้องส่วนล่างของตน
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้อหนัง และมันก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน ข้าพอแล้ว และในอนาคตข้าจะไม่กินอาหารเช่นนี้อีก”