ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 452 เหตุใดไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทุ่งดอกไม้อสูรของตนเอง
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 452 เหตุใดไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทุ่งดอกไม้อสูรของตนเอง
บทที่ 452 เหตุใดไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทุ่งดอกไม้อสูรของตนเอง
บทที่ 452 เหตุใดไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทุ่งดอกไม้อสูรของตนเอง
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย…”
ณ ศูนย์กลางป้อมปราการ หลังจากรับฟังไป๋ชิวหรานแล้ว เล่อเจิ้นเทียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองโหรวเยว่หมิงอย่างเขินอาย
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่เคยสนใจสตรีผู้ใดนั้นจะ… แต่เดิมเขาคิดเพียงการฝึกฝนเท่านั้น”
“การฝึกฝนคือสิ่งใด?”
โหรวเยว่หมิงถามอย่างสงสัย
“เรื่องนั้น…”
เล่อเจิ้นเทียนมองไป๋ชิวหรานด้วยความเขินอายอีกครั้ง
ไป๋ชิวหรานไม่ทราบว่าจักรพรรดิเซียนซู่หัวเป็นเช่นไร แต่เขาทราบดีว่าโหรวเยว่หมิงเป็นอาจารย์อสูรที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับนางแล้ว เล่อเจิ้นเทียนที่เป็นถึงจักรพรรดิเซียนยังด้อยกว่าเล็กน้อย
เขาจึงกระแอมไอ ก่อนจะกล่าวต่อ
“ไม่ต้องทราบเรื่องนั้นหรอก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด!”
“โอ…”
โหรวเยว่หมิงไม่คิดเซ้าซี้ นางพยักหน้าให้คู่สนทนาอย่างว่าง่าย
“ท่านใช่ศิษย์น้องรองของซู่หัวหรือไม่ เขาเคยเล่าว่าศิษย์น้องรองของเขาเป็นคนงี่เง่า แม้ไม่ได้มีชีวิตวุ่นวายเทียบเท่าอาจารย์ แต่ก็ไม่ได้ดีกว่านั้นนัก เพราะมักจะออกไปดึงดูด ‘ผึ้งและผีเสื้อ’ อีกทั้งชอบมัวเมาในดงมนตร์เสน่ห์ที่ท่านเรียกว่าทุ่ง ‘ดอกไม้’ อสูร”
“เอ่อ…”
ไป๋ชิวหรานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเล่อเจิ้นเทียน
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกระทำเรื่องเช่นนี้ด้วย”
เล่อเจิ้นเทียนยิ่งอับอายนักเมื่อได้ยิน เขาเพียงเหลือบมองไป๋ชิวหรานอย่างประหม่าเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้บอกว่าเป็นศิษย์น้องรอง โม่เฉินบอกกล่าวกับข้าว่า เมื่อท่านฝึกฝนอยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ในหมู่ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เกิดการแย่งชิงท่าน!”
“อะไรนะ?”
ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะอย่างสับสน ก่อนจะหันมองซูเซียงเสวี่ยอย่างขอความช่วยเหลือ
“เคยมีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”
“ข้าไม่ทราบ”
ซูเซียงเสวี่ยเหลือบมองหลีจิ่นเหยาและตอบว่า
“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยมีเรื่องหึงหวงเขากับสตรีคนใดเลย!”
“เรื่องนั้นน่าจะเกิดขึ้นก่อนที่อาจารย์หญิงเซียงเสวี่ยจะออกจากภูเขา”
เล่อเจิ้นเทียนอธิบาย
ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วสักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า
“หากกล่าวเช่นนั้น… ในช่วงปีแรกดูเหมือนว่าจะมีสตรีหลายคนที่อยู่เคียงข้างข้า ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงศิษย์ ที่มีแต่เรื่องให้ดุด่าสั่งสอนเท่านั้น”
“ถูกต้องแล้ว! ข้าเพียงต้องการถามว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงไม่เคยสัมผัสถึงทุ่งดอกไม้อสูรอย่างไรเล่า!”
เล่อเจิ้นเทียนเผยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย จากนั้นจึงถามต่อ
“ท่านอาจารย์ ในคราวแรกท่านทรมานมากหรือไม่?”
“ทรมาน?”
ไป๋ชิวหรานสงสัย
“เหตุใดข้าจึงต้องทรมานเล่า? พวกนางไม่ได้ทุบตีข้าสักหน่อย”
เล่อเจิ้นเทียนสำลัก… ก่อนจะถามต่อ
“แล้วท่านออกจากวงล้อมนั้นได้อย่างไร ตอนที่พวกนางเข้ามารบกวน?”
“สิ่งนั้นน่ารำคาญจริง ๆ ข้าจึงเพียงแค่ขับไล่ไปเท่านั้น!”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“บางคนต้องการอยู่กับข้าสองต่อสอง ข้าบอกว่าพวกนางไม่อาจต่อสู้กับข้าได้ แต่ทั้งหมดก็ไม่ยินยอม แต่ข้าก็ยังยืนกรานเช่นเดิม ผ่านไปสักพักใหญ่… จึงไม่มีใครมารบกวนข้าอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อเจิ้นเทียนจึงมั่นใจ เขาประสานหมัดพร้อมโค้งคำนับไป๋ชิวหรานอย่างอับอาย
หลังจากได้รับฟัง โหรวเยว่หมิงก็พยักหน้าพร้อมกล่าวชมเชย
“ตามที่ซู่หัวกล่าวเอาไว้ว่าปู่ของซู่หัวเป็นคนใจยักษ์ใจมารและยึดมั่นในกฎเกณฑ์ เป็นผู้ที่เขาเคารพและนับถือยิ่ง …นับถือยิ่งว่าศิษย์น้องและอาจารย์ของเขาเสียอีก”
ซูเซียงเสวี่ยหันศีรษะไปก่อนจะกล่าวกับกลุ่มสตรีในบ้าน
“สิ่งเดียวที่ข้าคิดคือ… นี่เป็นข้อดีของเขา เราไม่ต้องกังวลว่าไป๋ชิวหรานจะไปที่ใดหรือพาสตรีคนไหนกลับเข้าบ้านในอนาคต”
“อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย!”
เล่อเจิ้นเทียนโบกมือพร้อมถามต่อ
“ท่านอาจารย์… แล้วจิตวิญญาณของศิษย์พี่ใหญ่เล่า?”
“อยู่นี่”
ไป๋ชิวหรานกางฝ่ามือออก ในฝ่ามือของเขามีวิญญาณดวงน้อยลอยอยู่ นั่นคือดวงวิญญาณของจักรพรรดิเซียนซู่หัว
“ดีงาม!”
เล่อเจิ้นเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“หลังจากกลับไป ข้าจะสั่งให้ใครสักคนสร้างพระราชวังเซียนซู่หัวขึ้นใหม่อีกครั้ง”
“ไม่ต้องรีบร้อน…”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“แม้จิตวิญญาณของจักรพรรดิเซียนซู่หัวจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ความทรงจำของเขาหายไปหมดสิ้น พวกแนวคิดทั้งหมดก็เช่นกัน ข้าต้องนำเขาเข้าสู่สังสารวัฏอีกหลายคราเพื่อปลุกความจำกลับคืน หากเขาต้องการกลับสู่แดนเซียนอีกครั้ง ข้าเกรงว่าจะต้องใช้เวลานานพอสมควร”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว”
เล่อเจิ้นเทียนยิ้มและกล่าวต่อ
“ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้องทำได้! แม้หลังจากกลับชาติมาเกิดแล้วการบ่มเพาะจะต่ำต้อย แต่เขาจะสามารถกลับสู่แดนเซียนได้อย่างแน่นอน”
“ข้าไม่รู้จักซู่หัวดีพอ แต่หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าจะรีบไปจัดการเรื่องราวทั้งหมดในยมโลกเพื่อให้เขาเข้าสู่สังสารวัฏโดยเร็ว!”
ไป๋ชิวหรานยืดตัวยืนขึ้น
“อย่างไรเสีย… ไปที่แดนเซียนสักหน่อยดีกว่า! ข้าอยากทราบสถานการณ์ของซวี่เซียง ไม่รู้ว่านางลงไม้ลงมือกับอาจารย์ของข้าเช่นไรบ้าง”
“ข้าจะจัดเรือไปส่งท่านกับอาจารย์หญิงกลับบ้าน”
เล่อเจิ้นเทียนลุกขึ้นติดตามเขา
“จากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศิษย์ ท่านอาจารย์ได้กำจัดหนึ่งในหกอสูรแห่งความปรารถนาสำเร็จแล้ว แม้ว่าเจี้ยนอวี้จะถูกกลืนกินภายในเขตแดนจิตสำนึกของมันเอง แต่โลกอีกมากมายนับไม่ถ้วนในเขตแดนจิตสำนึกอันกว้างใหญ่ที่พวกมันทิ้งร้างไว้ น่าจะเพียงพอที่จะกระตุ้นให้อสูรแห่งความปรารถนาทั้งห้าต่อสู้กันหลังจากพวกมันแย่งชิงกันเอง ตอนนั้นเราเพียงแค่นั่งบนภูดูเสือกัดกัน แล้วค่อยลงมาเก็บเกี่ยวผลกำไรภายหลัง!”
“อืม”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าวเตือนอีกครั้ง
“อย่าประมาท และอย่าลืมว่าซู่หัวทิ้งสิ่งสุดท้ายไว้ที่อีกด้านของเขตแดนจิตสำนึกก่อนที่เขาจะตายตก ไม่มีใครทราบว่าหลังจากที่เขาตาย สิ่งนั้นสามารถควบคุมได้โดยง่ายหรือไม่ อีกทั้งไม่รู้เลยว่ามันจะส่งผลดีกับเรามากเพียงใด”
“ข้าทราบแล้ว และจะระมัดระวัง!”
เล่อเจิ้นเทียนตอบกลับมา
…
ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ล่องเรือไปบนสายธารแห่งความว่างเปล่าที่เล่อเจิ้นเทียนตระเตรียมให้ ทั้งหมดออกจากกำแพงแห่งความตระหนักรู้ก่อนมุ่งหน้าสู่ยมโลก
อีกฝั่งของเขตแดนจิตสำนึก ไป๋ชิวหรานเห็นว่านอกเหนือจากโลกหลายใบที่เชื่อมเข้ากับเขตแดนจิตสำนึกแล้ว ยังมีโลกอีกไม่น้อยเชื่อมต่อกันด้วยสายธารแห่งความว่างเปล่าด้วย ทั้งหมดราวกับไข่มุกร้อยเรียงกันผ่านตาข่ายสีทอง
“เหตุใดจึงมีโลกมากมายที่ปกคลุมด้วยเขตแดนจิตสำนึกของที่นี่กันนะ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถามเมื่อมองไปที่ตาข่ายทองคำ
“เพราะท่านอาจารย์นั่นแหละ… หลังจากที่ท่านบ่มเพาะ รากฐานของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้แต่ความสามารถของพวกเราในการจดจำเวทคาถาก็มากขึ้นตามไปด้วย โลกหลังป้อมปราการเพียงหนึ่งโลกไม่สามารถรองรับเขตแดนของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานได้ มันจึงต้องขยายออกไปอีกตามความแข็งแกร่งที่มี”
ถังรั่วเวยลูบคางก่อนจะกล่าวต่อ
“ร่างอาจารย์อสูรของข้าและพี่หญิงหลีต่างก็หลับสนิทเมื่อสองสามวันก่อน และอยู่ในขั้นตอนวิวัฒนาการ… น่าจะเป็นเพราะกินเจี้ยนอวี้เข้าไป”
“เป็นเช่นนั้นเอง…”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองตาข่ายสีทอง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่ขอบของตาข่ายเปล่งประกายสีครามเรืองรอง มันคล้ายกับว่าเป็นตัวเชื่อมโยงกับตาข่ายสีทองเหล่านี้
ทั้งหมดคือเส้นใยเชื่อมโยงและเป็นเจตจำนงของวิถีสวรรค์ เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋ชิวหรานก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยขึ้น
“เมื่อกล่าวถึงผลกำไร มันก็ค่อนข้างรวดเร็วไม่น้อย”
สายตาของเขาเห็นชัดเจนว่าเจตจำนงของวิถีสวรรค์แทรกซึมเข้าสู่ตาข่ายสีทองอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือจิตสำนึกของวิถีสวรรค์
แต่ไป๋ชิวหรานไม่คิดหยุดยั้งมัน เขาละสายตาและกลับมานั่งในเรือเพื่อมุ่งหน้าสู่ยมโลก