ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 454 รากฐานวิญญาณไม่อาจตัดสินอนาคต ต้นกำเนิดไม่เทียบเท่าเจตจำนง
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 454 รากฐานวิญญาณไม่อาจตัดสินอนาคต ต้นกำเนิดไม่เทียบเท่าเจตจำนง
บทที่ 454 รากฐานวิญญาณไม่อาจตัดสินอนาคต ต้นกำเนิดไม่เทียบเท่าเจตจำนง
บทที่ 454 รากฐานวิญญาณไม่อาจตัดสินอนาคต ต้นกำเนิดไม่เทียบเท่าเจตจำนง
“ชีวิตเจ้ามืดมนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ชายหนุ่มรูปงามกล่าวกับเด็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ
“ทันทีที่ข้าได้เกิดใหม่ ข้าได้เป็นบุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เจ้าที่กลับชาติมาเกิดถึงสิบเอ็ดครั้ง ยกเว้นการมีชีวิตสุขสบายในชาติแรก ที่เหลือเจ้าต้องเป็นขอทานหรือคนเร่ร่อนตลอดเวลา และคราวนี้ยังเกือบตายตกเพราะพายุหิมะ อนิจจา หากข้าสามารถสั่งสอนจิตวิญญาณของเจ้าได้คงจะดีไม่น้อย”
เด็กน้อยเผยอริมฝีปาก หลับตาลง ก่อนจะหมดสติไป
“ดูเหมือนว่าร่างกายของเจ้าจะอ่อนแอยิ่ง”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มก็แตะเรียวปากตนเอง พร้อมเดินตรงไปช่วยเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว เขาปลดปล่อยพลังปราณแก่นแท้เพื่อรักษาชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้
เขาหันหน้าออกไปในความว่างเปล่า ผู้ส่งสารยืนอยู่ตรงนั้น และเดินตรงเข้าสู่มุมของวิหารที่ทรุดโทรม
“พี่ชาย …โปรดส่งสารถึงอาจารย์ข้า ให้ยุติชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้”
ผู้ส่งสารหยิบสมุดชีวิตและความตายออกมา พลิกหน้ากระดาษ จากนั้นประสานมือให้อีกฝ่ายแล้วถอยห่างออกไป
ชายหนุ่มรูปงามเรียกอาวุธวิเศษออกมา ก่อนทะยานขึ้นห้องฟ้าไปพร้อมกับเด็กน้อย กลายเป็นลำแสงมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชิงสุ่ย
วันนี้หมู่บ้านชิงสุ่ยเปลี่ยนไปแล้ว จากที่เคยเป็นสถานที่หลบซ่อน ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมความแข็งแกร่งของอาณาจักรต้าเซีย
เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานประดิษฐานอยู่ที่นี่ ซึ่งจะเผยแพร่วิถีแห่งเซียน และพลังแห่งกฎเกณฑ์ของโลกและสวรรค์ อีกทั้งชาวบ้านทั้งหมดได้กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสก่อสร้างรากฐานในปัจจุบันด้วย
ลิ่วหวยลี่ก้าวขึ้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของโลก เขาเหนือว่าชาวบ้านและศิษย์ทั้งหมดตั้งแต่แรก จนได้กลายเป็นผู้นำของสำนักเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน
หมู่บ้านชิงสุ่ยยังได้รับพรจากเหล่าทวยเทพมากขึ้น ตามคำบอกเล่าของเหล่าศิษย์สำนัก นาน ๆ ครั้งจะมีรถม้าศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากฟากฟ้า และพุ่งเข้าสู่สำนัก เหล่าลูกศิษย์เชื่อว่าทั้งหมดคือลิขิตจากสวรรค์ และภูมิใจมากนัก อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสใหญ่ประจำสำนักดูจะไม่ค่อยชื่นมื่นนัก ทั้งยังหวาดกลัวต่อรถม้าเหล่านั้นด้วย
ผู้ศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานมีจำนวนมากขึ้น และผู้อาวุโสแต่ละคนมีศิษย์มากมาย พวกเขาไม่คิดตระหนี่ที่จะสั่งสอนพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขายินดีที่จะถ่ายทอดพลังของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานให้กับศิษย์ทั้งหมดตลอดชีวิต ทั้งหมดคือการส่งเสริมให้ผู้ฝึกตนแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นการเบิกเส้นทางสู่แดนเซียนด้วย
อย่างไรก็ตามลิ่วหวยลี่ซึ่งเป็นผู้นำสำนักเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานไม่เคยยอมรับศิษย์แม้แต่คนเดียว
เมื่อมีคนถามเหตุผล เขาเพียงตอบแค่ว่าตนมีศิษย์อยู่แล้ว แต่ในวันนี้ ผู้นำสำนักลิ่วหวยลี่ก็ยกเด็กน้อยใกล้ตายขึ้นมา แล้วยังใช้โอสถอายุวัฒนะยืดอายุให้กับคนผู้นั้น ก่อนจะยอมรับเป็นศิษย์
มีผู้ศรัทธามากมายที่ไม่เห็นด้วยและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง แต่ลิ่วหวยลี่ยังยืนกรานที่จะรับเด็กขอทานผู้นี้เป็นศิษย์ ก่อนจะตั้งชื่อให้ว่า ไป๋ซู
…
ผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิจนมาถึงฤดูใบไม้ร่วง ไป๋ซูอยู่ภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว
ไป๋ซูเพิ่งเสร็จสิ้นการทดสอบขั้นสร้างรากฐานวิญญาณของสำนัก แต่ผลที่ได้ไม่น่าพอใจนัก เขายิ่งอับอายเมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ เวลานี้เขากำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในป่าใกล้ลานบ้านของลิ่วหวยลี่
“ทดสอบสร้างรากฐานวิญญาณเสร็จแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น เรียกให้ไป๋ซูหันไปหา และพบว่าเป็นอาจารย์ของเขายืนอยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายกำลังทอดสายตามาอย่างใคร่รู้
“การทดสอบเสร็จแล้ว”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ไป๋ซูก็ก้มศีรษะลงอย่างอับอาย ก่อนจะกล่าวตอบเสียงเบา
“ผลเป็นอย่างไร?”
“รากฐานวิญญาณต่ำต้อยนัก หากไม่ได้รับโอสถอายุวัฒนะแล้ว ก็ไม่อาจฝึกฝนจนสามารถทะลวงรากฐานได้ในชีวิตนี้”
ไป๋ซูกล่าวแผ่วเบาพร้อมสีหน้าเจ็บปวด
“โอ้…”
ลิ่วหวยลี่หรือไป๋ลี่ไม่ได้ว่าอะไรไป๋ซู ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าปกติต่อกัน
“รีบกลับบ้านเถอะ มารดาเจ้าทำอาหารเสร็จแล้ว!”
เขาหันหลังกลับและจากไปราวกับไม่สนใจเรื่องของรากฐานวิญญาณของไป๋ซู
“ท่านอาจารย์!”
ไป๋ซูรีบหยุดเขาไว้
“ไม่คิดลงโทษข้าหรือ?”
“แล้วเหตุใดข้าต้องลงโทษเจ้า?”
ไป๋ลี่หันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม
“รากฐานวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และเจ้าไม่ใช่ผู้กำหนด ข้าจะไม่โทษศิษย์ข้าสำหรับเรื่องนี้ เพราะมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกอย่าง… ข้าไม่ได้นึกเสียใจอะไรนัก”
“แต่ข้าไม่อาจฝึกฝนได้ในชีวิตนี้!”
ไป๋ซูกล่าวพร้อมร่ำไห้ออกมา
“ท่านคือผู้นำสำนัก บุคคลอันดับหนึ่งของโลก แต่ข้าซึ่งเป็นศิษย์สายตรงอาจเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณไปตลอดชีวิต… ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ให้ความรู้แก่ข้า มอบชีวิตให้ข้า มีทั้งความเมตตาในฐานะบิดามารดา ศิษย์ผู้นี้ไม่อาจทำให้ท่านอาจารย์ต้องแบกรับความอัปยศเหล่านี้ได้”
ไป๋ลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยท่าทีงุนงง
“เจ้าคิดว่าขั้นกลั่นลมปราณอ่อนแอหรือ?”
“แล้วมันไม่อ่อนแอหรือ?”
ไป๋ซูตกตะลึง
“ภายในอาณาจักรทั้งเจ็ด ขั้นกลั่นลมปราณไม่ถูกรวมอยู่ในลำดับด้วยซ้ำ!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงยังไม่เคยพบกับผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณที่แท้จริง… ลืมไปเสียเถิด ไว้ข้าจะกล่าวเรื่องนี้ในภายหลัง หากเจ้าได้พบผู้ฝึกตนผมสีขาวที่สามารถแสดงพลังปราณที่แท้จริงได้ อย่าลืมทำความเคารพเขา นั่นคือผู้อาวุโสของเจ้า!”
ไป๋ลี่โบกมือ
“ส่วนรากฐานวิญญาณของเจ้า มันไม่สำคัญ …อย่างไรเสียเจ้าก็มีความสามารถ”
“หมายความเช่นไร?”
ไป๋ซูถามด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม ไป๋ลี่ไม่ได้กล่าวตอบ เขาเพียงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะกล่าวต่อไป
“ไป๋ซู เจ้าคิดว่าพรสวรรค์และรากฐานวิญญาณของบุคคลมีความสำคัญต่อการฝึกฝนของคนผู้นั้นหรือไม่?”
“พรสวรรค์และรากฐานวิญญาณมีผลกับความเร็วในการฝึก และสิ่งที่พวกเขาจะไขว่คว้าได้ในอนาคต แน่นอนว่ามันย่อมสำคัญมาก”
ไป๋ซูกล่าวตอบตามที่เขาเคยเรียนรู้ในชั้นเรียนในปีที่ผ่านมา
“ผิดแล้ว! รากฐานวิญญาณและพรสวรรค์ไม่สามารถกำหนดขั้นการฝึกฝนของบุคคลผู้นั้นได้ เช่นเดียวกับขั้นการฝึกฝนที่ไม่สามารถกำหนดพลังของบุคคลได้ ในสมัยโบราณกาล ช่วงเวลาที่ภูมิปัญญายังไม่ถูกขัดเกลา มีบุคคลหนึ่งสร้างวิธีการเข้าสู่ขั้นเซียน เผ่าพันธุ์มนุษย์ในเวลานั้นยังไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าฐานวิญญาณด้วยซ้ำ”
ไป๋ลี่ยิ้มพร้อมส่ายศีรษะ
“สิ่งที่กำหนดความแข็งแกร่งของผู้คนได้ก็คือ ‘เจตจำนง’ ของตัวผู้นั้นเอง ข้ามีเรื่องเล่าให้เจ้าฟัง! สมัยก่อนนั้น… มีเหล่าอาจารย์อสูรอยู่ทั่วใต้หล้าแห่งนี้ และเหล่าเซียนเกิดเห็นใจความทุกข์ยากของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ บรรพชนเซียนจึงสอนวิธีการฝึกฝนสู่ขั้นเซียนให้กับเหล่าจักรพรรดิ และจากนั้นจักรพรรดิจึงใช้สิ่งนี้ล้มล้างการปกครองของเหล่าทวยเทพ”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาจึงถามว่า
“ในตอนแรกเริ่ม หลังจากที่บรรพชนเซียนถ่ายทอดการฝึกฝนให้ เขาก็จากโลกใบนี้ไป …เหลือเพียงจักรพรรดิและมนุษย์เท่านั้นที่ต้องเลือกเส้นทางของตนเอง ในคราวนั้นสำหรับจักรพรรดิแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าหรืออสูร ล้วนแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดบรรพชนเซียนในตอนท้ายจึงไม่เข้าร่วมกับกองกำลังเหล่าทวยเทพ?”
“ศิษย์ไม่เข้าใจ” ไป๋ซูส่ายศีรษะ
“นั่นเป็นเพราะ ‘เจตจำนง’ ของบรรพชนเซียนที่คิดจะเปิดเส้นทางรุ่งโรจน์ภายในถิ่นทุรกันดารมืดมิดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจตจำนงเช่นนี้ทำให้จักรพรรดิเข้าใจว่าเขาควรทำอย่างไร”
ไป๋ลี่ตบไหล่ของอีกฝ่าย
“เช่นเดียวกับการฝึกฝน หากเจตจำนงของเจ้าตัดสินว่าไร้ซึ่งหนทางแล้ว เจ้าก็คงต้องจุดไฟในใจขึ้นมาใหม่ การฝึกฝนถูกบรรพชนเซียนสร้างขึ้น ดังนั้นเจ้าก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้เช่นกัน!”
“แต่นั่นคือบรรพชนเซียน ข้าเป็นเพียงเด็กขอทาน”
ไป๋ซูยังลังเล
“บรรพชนเซียนก็เป็นเพียงขอทานก่อนที่เขาจะกลายเป็นบรรพชนเซียน”
ไป๋ลี่กล่าวกับเขา
“ลังเลงั้นหรือ? คิดจะทำข้าอับอายหรือ?”
“ศิษย์ไม่กล้า!” ไป๋ซูรีบตอบ
“เช่นนั้น… ก็คิดเสียว่าทำเพื่อข้า!”
“ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า หากทำไม่ได้ แสดงว่าเจ้ายังฝึกฝนไม่มากพอ!”
“ทราบแล้ว!”
ไป๋ซูตอบกลับพร้อมยืนตัวแข็งทื่อ เขากล่าวตอบไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ งั้นเริ่มพรุ่งนี้! ข้าจะสอนวิธีการขัดเกลาพลังปราณให้”
ไป๋ลี่พยักหน้าด้วยความพอใจ
“มานี่ ๆ ข้ากับภรรยาได้หาภรรยาให้เจ้าแล้ว… แม้ว่านางอาจจะแก่ไปหน่อย ทั้งยังอยู่คนละโลกกับเรา แต่อย่างที่เขาว่ากัน… สตรีแก่สามถืออิฐทองคำ*[1] อย่างไรล่ะ”
[1] หมายความถึง ยามที่บุรุษเลือกคู่ครอง หากเลือกผู้ที่แก่กว่าตนเองสามปี เช่นนั้นจะได้ภริยาที่มีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่า อ่อนโยน เกรงอกเกรงใจ เข้าใจ และรับรู้ความยากลำบากมากกว่า