ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 464 ไม่ใช่ ข้าคือผู้ฝึกตนขั้นรากฐานเสมือน!
บทที่ 464 ไม่ใช่ ข้าคือผู้ฝึกตนขั้นรากฐานเสมือน!
บทที่ 464 ไม่ใช่ ข้าคือผู้ฝึกตนขั้นรากฐานเสมือน!
ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ ท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ และท่านผู้ทรงเกียรติเว่ยอวี้หลบหนีจากสุดขอบของดินแดนท่านผู้ทรงเกียรติเจี้ยนอวี้ เมื่อได้ยินเสียงความผันผวนแห่งความตระหนักรู้ราวกับหัวใจสลายของท่านผู้ทรงเกียรติชู่อวี้ อี้อวี้จึงคลี่ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า
“เหอะ ทรยศตรงไหนไม่ทราบ? เจ้ากับข้าเป็นศัตรูกันมาตลอด อย่าทำตัวอ่อนหัดไปหน่อยเลย พวกข้าไม่เคยสัญญาว่าจะเป็นพันธมิตรกับเจ้าเสียหน่อย”
ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ยื่นหนวดโปร่งแสงออก ฉีกเส้นทางไปสู่กระแสธารแห่งความความว่างเปล่า ในเวลาเดียวกันคลื่นความตระหนักรู้ก็ถูกส่งออกไป
“เจ้าจะถูกฆ่าและกลืนกินโดยเหล่าเซียนที่นี่ช้า ๆ ข้าจะจดจำไว้ก็ได้นะ สหาย”
แต่เมื่อมันอยากฉีกเส้นทางเพื่อเปิดออก ฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นออกมาจากนอกเส้นทาง และวางลงตรงสุดขอบเส้นทาง
“แต่เจ้าอาจจะจำไม่ได้แล้วก็ได้…”
ชายผมขาวมาจากนอกเส้นทาง มองไปที่ร่างขนาดมหึมาของท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้
“เพราะเจ้าจะเป็นความทรงจำของมันในวันนี้ยังไงล่ะ!”
ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้รู้สึกขนลุกแม้จะไม่มีขนก็ตาม นั่นเป็นความรู้สึกของการตกเป็นเป้าจากผู้ล่าทรงพลัง สำหรับมันแล้ว ความรู้สึกนี้ไม่ได้ปรากฏมามานับพันปี หรืออาจจะนับร้อยล้านปีเลยก็ว่าได้
ตั้งแต่มันกลายเป็นสุดยอดอาจารย์อสูร ก็ไม่เคยประสบกับสิ่งที่เหมือนกับความรู้สึกเช่นนั้นอีก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกถึงอันตรายเช่นนั้นได้
“เจ้าคือจักรพรรดิเซียนงั้นหรือ?!”
ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ปลดปล่อยความผันผวนแรงกล้าออกไปในเขตแดนแห่งความตระหนักรู้ พร้อมกับล่าถอย หนวดของมันโบกสะบัด ความเกลียดชัง ความนองเลือด และความตาย ล้วนพุ่งไปที่ชายหนุ่มผมขาว
ราวกับประกายกระบี่ฟันผ้าใบ มันฉีกกระชากภาพมายาที่มันสร้างด้วยกำลังทั้งหมดที่มี หลังจากนั้น สายฟ้าสีทองพลันเคลื่อนลงจากนภา
เมื่อท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้มองตามก็เห็นชายหนุ่มผมขาวยืนอยู่ตรงนั้น และกำลังชี้นิ้วข้างหนึ่งมาที่มัน ด้านหลังของอีกฝ่ายมีผู้ชายในชุดเกราะเงินยืนอยู่ มือถือหอกและกระบี่เอาไว้ เป็นเทพอาวุโสสงครามที่มีมังกรทองห้ากรงเล็บอยู่ใต้เท้าของเขา
“ไม่ใช่!”
ร่างของเทพสงครามค่อย ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นจนใกล้เคียงกับมัน เสียงของชายหนุ่มผมขาวดังมาจากไกล ๆ
“ข้าคือผู้ฝึกตนขั้นรากฐานเสมือน”
กระบี่และหอกชี้ไปยังนภา สายฟ้าสีทองไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวเป็นคมกระบี่ จากนั้นเทพสงครามในชุดเกราะเจิดจ้าก็ถือหอกไว้ในมือทั้งสองข้าง ฟาดฟันใส่ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้อย่างน่าสะพรึง!
…
“เจ้ามันโชคร้ายเอง! หึ”
เมื่อท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ที่กำลังจะตาย ท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ผู้กำลังวิ่งหนีจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้!
“เจ้าโง่! บอกว่าให้หยุดเยาะเย้ยไง!”
ขณะหัวเราะให้กับอดีตศัตรูและสหาย มันได้ยินเสียงท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ที่ยังคงฉีกพรมแดนของดินแดนตรงหน้ามัน เพื่อพยายามหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่า
อาจารย์อสูรสามตนนี้ฉลาดเช่นกัน เมื่อรู้ความจริงที่ว่าภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามาก็ต่างพากันทะยานแยกทางจากกัน เพราะหากอยู่รวมตัวเพื่อหลบหนีโดยใช้เส้นทางที่สั้นที่สุด คาดว่าพวกมันทั้งสามจะถูกไป๋ชิวหรานขัดขวางจากด้านนอก ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีทางหลบหนีได้
ทว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันทั้งสามถึงไม่เชื่อใจกัน เมื่อเห็นกองทัพเซียนกำลังใกล้เข้ามา ฝ่ายแรกที่ตอบสนองคือท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ผู้ที่หันหลังเพื่อหลบหนี
จากนั้นมันและท่านผู้ทรงเกียรติเว่ยอวี้ก็ตามฝีเท้าของท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้ไป แต่เมื่ออาจารย์อสูรทั้งสามมาได้ครึ่งทางก็พากันแยกทางราวกับรู้ใจ จนไม่พยายามขัดขวางกันเองอีก
หรือก็คือก่อนหน้านี้ทั้งสามตนนี้ต่างคิดเกี่ยวกับแผนที่ว่า ‘ขอแค่หนีเร็วกว่าคนที่เหลือก็พอแล้ว!’ ทว่าเพื่อความปลอดภัย พวกมันต้องยอมตัดใจ และหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้
“หลังจากคนของแดนเซียนถอยทัพแล้ว ข้าจะดูแลดินแดนของเจ้าให้เอง ท่านผู้ทรงเกียรติอี้อวี้!”
ในใจของท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้บังเกิดความคิดราวกับเด็กน้อยรับของต่อจากพี่น้อง ก่อนจะฉีกพรมแดนของดินแดนท่านผู้ทรงเกียรติเจี้ยนอวี้ ทว่าเงาสีดำขนาดใหญ่พลันพุ่งมาจากทางเดินข้างหน้า
“ตายซะ!”
จนกระทั่งเงานั้นกระแทกเข้าเต็มแรงจนหน้าบี้ไปหมด ท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้จึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ชัดเจน
มันคือหมัดขนาดใหญ่!
หมัดดูงดงามและละเอียดอ่อนราวกับแขนของผู้หญิง ทว่าพลังที่อยู่ข้างในกลับน่าสะพรึง ร่างของท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ถูกกระแทกจนขาดครึ่งเพราะหมัดดังกล่าว
“โอ้ว้าว!”
ความตระหนักรู้ของท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ปั่นป่วน ร่างทรงกลมรีบถอยพุ่งไปข้างหลังอย่างไม่เต็มใจ! จนกระแทกเข้ากับภูเขาลูกใหญ่ไร้ใครเทียบในดินแดนของท่านผู้ทรงเกียรติเจี้ยนอวี้ จนภูเขาถล่มในทันที
หลังจากซัดท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้แล้ว แขนสีขาวบริสุทธิ์ก็หดกลับมา จากนั้นความว่างเปล่าด้านหลังพลันมีฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์สองข้างยื่นออกมาฝืนเปิดรอยแยกอย่างรุนแรง
เผยให้เห็นเทพธิดาผู้มีร่างขนาดใหญ่ สวมกระโปรงยาว ใบหน้างามงด มีร่างกายขนาดใกล้เคียงกับท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ ร่างนั้นก้าวเข้ามาจากด้านหลังเส้นทางแห่งความว่างเปล่า ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้
“สหาย! เจ้าไปไหนไม่ได้หรอก!”
บนบ่าของเทพธิดาตนนี้มีเด็กผู้หญิงใบหน้างามงดคนหนึ่ง ตรงส่วนเนินอกของนางดูนูนใหญ่เป็นพิเศษ เด็กผู้หญิงผู้นี้มีรากฐานการฝึกฝนที่ไม่น่าจะสามารถไปถึงขั้นเซียนได้ นางกำลังมองท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ด้วยสีหน้าราวกับกำลังมองเหยื่ออันโอชะ
“ข้าจะสามารถมีความสุขในชีวิตได้หรือไม่… ข้าจะชนะการเดิมพันกับอาจารย์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!!”
ท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ถูกซัดออกไปทันทีเมื่อสิ้นเสียงเอ่ย! มันทราบอยู่แล้วว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาดี จึงไม่เสียเวลาทำเรื่องไร้สาระ มันลุกขึ้นจากซากปรักหักพังช้า ๆ และเปิดฉากโจมตีไปทางถังรั่วเวย
กระดูกของมันกำลังเกิดแรงสะเทือน โครงสร้างที่คล้ายกับระฆังปล่อยพลังเสียงจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้น… คลื่นเสียงขนาดมหึมาก็ถูกปล่อยออกมาจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และพุ่งเป้าไปทางเทพธิดาตนนั้น
คลื่นเสียงเหล่านี้มีทั้งสูงและต่ำ อ่อนโยนแต่เย้ายวน จนสามารถปั่นป่วนจิตใจได้ ทว่ามีพลังทำลายล้างสูงเช่นกัน มันสามารถสั่นสะเทือนผู้ฟังจนร่างกายแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้
ส่วนท่านผู้ทรงเกียรติทิงอวี้ก็ฉลาดไม่แพ้กัน มันรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่บนบ่าของเทพธิดาคือร่างต้นกำเนิดของนาง จึงถือว่าเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่าย ดังนั้นคลื่นเสียงทั้งหมดล้วนพุ่งเป้าไปที่ถังรั่วเวยผู้ยืนอยู่บนบ่าของพระโพธิสัตว์เสริมอก
ทว่ามันประเมินพละกำลังร่างจำแลงอาจารย์อสูรของถังรั่วเวยผิดไป
ในแง่ของร่างกาย ถังรั่วเวยย่อมเป็นผู้ควบคุมอาจารย์อสูรที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน ยิ่งเทียบกับซูเซียงเสวี่ยและหลีจิ่นเหยา หรือแม้กระทั่งศิษย์น้องของนางที่กลับชาติมาเกิดอย่างไป๋ลี่ การฝึกฝนและพลังการต่อสู้ในตอนนี้ย่อมเหนือกว่านาง
แท้จริงถังรั่วเวยมีพรสวรรค์และรากฐานวิญญาณเช่นกัน แต่สตรีคนนี้ไม่กระตือรือร้นเรื่องการฝึกฝน สิ่งที่นางชอบมากที่สุดคือการฝึกฝนวิชาภายนอกระดับเทพอย่างวิชาหลอมสร้างกาย เพราะนี่คือต้นทุนชีวิตของนางที่จะใช้เปลี่ยนชีวิตกับสวรรค์
ดังนั้นเมื่อเทียบกับกลุ่มอสูรแล้ว การฝึกฝนร่างกายของนางนับว่าต่ำที่สุด และการเข้าสู่ดินแดนก็ช้าที่สุด
ทว่าในด้านพละกำลังของร่างจำแลงอาจารย์อสูร พระโพธิสัตว์เสริมอกของถังรั่วเวยแทบจะแข็งแกร่งที่สุด! เป็นรองแค่เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานของไป๋ชิวหราน แถมห่างกันเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น
ร่างจำแลงอาจารย์อสูรเป็นศูนย์รวมของวิญญาณและความหมกมุ่นของสิ่งมีชีวิตในดินแดนแห่งความตระหนักรู้ ความหมกมุ่นที่แข็งแกร่งของนางก่อให้เกิดร่างจำแลงอาจารย์อสูรที่ทรงพลังไร้ใครเทียบ
หลังจากไป๋ชิวหรานกลืนกินท่านผู้ทรงเกียรติเจี้ยนอวี้และกองกำลังทั้งหมดที่อยู่ใต้อาณัติของมัน เขาได้แปลงพระโพธิสัตว์เสริมอกให้กลายเป็นสุดยอดอาจารย์อสูรที่มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่ากลุ่มหกอสูรแห่งความปรารถนา
ดังนั้นต่อให้การฝึกฝนร่างกายของถังรั่วเวยจะไม่มากพอจะไปถึงขั้นเซียน แต่นางยังมีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิเซียน อีกทั้งพลังต่อสู้ของนางยังแข็งแกร่งได้มากกว่านี้ในดินแดนแห่งความตระหนักรู้
และที่สำคัญที่สุด เทียบกับอาจารย์อสูรเหล่านั้นที่พึ่งความสามารถทางความคิดที่หลากหลายในการต่อสู้ การเลือกอาจารย์อสูรของถังรั่วเวย คือการทิ้งความสามารถทั้งหมดนอกจากเสียจากความปรารถนาในทรวงอกอันมหึมา! นางใช้พลังแห่งจิตใจทั้งหมดในการต่อสู้ระยะประชิด!!
กล่าวได้ว่า นอกจากเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน ก็ไม่มีใครในโลกที่จะมีการต่อสู้ระยะประชิดเหนือไปกว่านาง!