ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 472 ถังรั่วเวยบรรลุความใฝ่ฝัน ชาตินี้พอใจแล้ว
บทที่ 472 ถังรั่วเวยบรรลุความใฝ่ฝัน ชาตินี้พอใจแล้ว
บทที่ 472 ถังรั่วเวยบรรลุความใฝ่ฝัน ชาตินี้พอใจแล้ว
บริเวณโลกวัตถุบางแห่งที่ใกล้กับกำแพงแห่งความตระหนักรู้ มีเรือขนาดกลางลำหนึ่งเทียบจอดที่ด้านนอกของโลกวัตถุอย่างเงียบงัน
ประตูเรือเหาะเปิดออก ก่อนจะมีบันไดทอดออกมาเชื่อมต่อกับด้านล่าง จากนั้นก็มีคนเดินเป็นแถวออกมาจากท้องเรือ ย่ำเท้าลงบนบันได ท่ามกลางสายธารแห่งความว่างเปล่า
ไป๋ชิวหรานที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเงยหน้ามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือโลกที่มีสีสันฉูดฉาด กำแพงแห่งความตระหนักรู้ขนาดมหึมาที่มองไม่เห็นปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ราวกับแค่เอื้อมมือออกไปก็สามารถสัมผัสได้
ที่นี่เป็นโลกวัตถุที่เข้าใกล้กำแพงแห่งความตระหนักรู้ที่สุด ถึงแม้ความเป็นจริงจะยังอยู่ห่างจากกำแพงอีกเหลือคณานับก็ตาม แต่ในความเวิ้งว้างนี้ก็ถือได้ว่าใกล้มากแล้ว
พื้นที่ตรงนี้เป็นอีกด้านหนึ่งของดินแดน ซึ่งมีกำแพงแห่งความตระหนักรู้ล้อมรอบ จนเกิดเป็นวงแหวนครอบคลุมดินแดน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมองเห็นสีสันของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ได้เช่นกัน
หลังจากชายตามองเพียงชั่วครู่ ไป๋ชิวหรานก็ละสายตากลับมาและเดินหน้าต่อ โดยมีเจียงหลานติดตามอยู่ข้างหลัง สายตาของนางสอดส่องไปมาเพื่อดูทัศนียภาพโดยรอบ
“ท่านผู้ทรงเกียรติเว่ยอวี้จะปรากฏตัวที่นี่ใช่หรือไม่?”
นางถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ไม่ทราบแน่ชัด… แต่มีความเป็นไปได้มาก เพราะอย่างไรเสีย ตอนที่เจ้านั่นหนี ก็หนีมาทางนี้”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าพลางระบายยิ้มออกมา
“แต่เจียงหลาน เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นถึงเพียงนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามบุญวาสนา อย่างไรเสีย เมื่อถึงเวลา หากเจ้านั่นจะปรากฏตัว เล่อเจิ้นเทียนก็คงส่งคนมาบอกพวกเรา!”
“หวังว่ามันจะรีบปรากฏตัวในเร็ววัน!”
เจียงหลานส่ายหน้าพลางถอนใจ
“ถ้าไม่ได้จัดการกับมัน ข้าไม่มีทางสงบจิตสงบใจได้แน่!”
“ศิษย์พี่หญิง… ท่านกดดันตัวเองอีกแล้ว”
ถังรั่วเวยเดินตามเจียงหลานออกมา จากนั้นจ้องเขม็งไปที่ไป๋ชิวหราน
“พูดก็พูดเถอะ เหตุใดต้องให้ข้าตามมาด้วย? ท่านอาจารย์ ท่านกับศิษย์พี่หญิงสองคนก็สามารถจับท่านผู้ทรงเกียรติเว่ยอวี้ได้แล้วไม่ใช่รึ?”
ไป๋ชิวหรานมองไปที่แม่นางคนนี้
นับตั้งแต่วิชาหลอมสร้างกายบรรลุถึงขั้นที่ห้าสิบสมตามความปรารถนาแล้ว ถังรั่วเวยก็หย่อนยานไม่เคร่งครัดอีก นอกจากไปที่รัฐซ่างเสวียนหาครอบครัวเพื่อโอ้อวดความสำเร็จแล้ว ทุกวันเวลาที่สตรีนางนี้ไม่มีอะไรทำ ก็เป็นต้องพาไป๋ซวี่เซียงออกไปเที่ยว หรือนอนอาบแดดอยู่ในสวนเป็นตัวขี้เกียจ
“ที่ให้ตามมา ก็เพื่อให้เจ้าได้มีอะไรทำบ้าง!!”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“ถ้าทิ้งไว้ที่บ้าน เจ้าจะฝึกบำเพ็ญอย่างเรียบร้อยเช่นนั้นรึ?”
“ข้าช่วยดูแลบุตรสาวของท่านได้…”
ถังรั่วเวยบ่นพึมพำ
“เหตุใดต้องดูแล? มีคนมากมายคอยดูแลซวี่เซียงอยู่แล้ว เจ้ามีแต่จะพานางออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น!”
ไป๋ชิวหรานร้อนใจราวกับตีเหล็กไม่ขึ้นรูป
“เจ้าดูตัวเจ้าสิ! พื้นฐานอยู่ในขั้นฐานวิญญาณสวรรค์ แถมยังมีวิชาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าอีก แต่ผลปรากฏว่าฝึกฝนมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่บรรลุไปไหน! ศิษย์น้องของเจ้าข้ามหน้าข้ามตาไปติดต่อกันสองครั้งแล้ว บางครั้งก็ไม่ได้นอนคอยฝึกบำเพ็ญ เจ้าดูศิษย์น้องของเจ้าแล้วหันกลับมาดูตัวเองบ้าง หัวใจแห่งความดีงามของเจ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดบ้างหรอกรึ?”
“ไม่เห็นจะเจ็บเลย!”
ถังรั่วเวยตอบ
“เพราะอย่างไรเสียระดับของข้าก็สูงกว่าท่าน! ไม่สิ… ข้าหมายความว่า ข้ารอท่านอยู่ที่ขั้นนี้ แล้วค่อยบรรลุไปด้วยกันไง! …อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็ไม่มีขีดจำกัดอยู่แล้ว”
“เชอะ!”
ไป๋ชิวหรานเบะปากด้วยความไม่พอใจ แต่ก็นึกเหตุผลมาตอบโต้นางไม่ได้
“สำหรับซวี่เซียง เจ้าไม่จำเป็นต้องมาดูแล หากอยากจะมีลูกก็ไปหาผู้ชายเอาเอง”
“ไม่เอา!”
ถังรั่วเวยรีบปฏิเสธ
“ในหมู่ผู้ฝึกตนชาย ข้าไม่รู้สึกอะไรกับใครสักคน?”
“ได้ยินว่าระยะนี้ที่วังเปลี่ยนวิถีในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน มีคนหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกำลังเป็นที่โด่งดัง ผู้ฝึกตนหญิงมากมายหลายคนต่างก็ชื่นชอบในตัวเขา รั่วเวย เจ้าไปพบมาแล้วหรือยัง?”
เจียงหลานหันมาถามถังรั่วเวยราวกับว่าตัวเองเป็นแม่สื่อ
วังเปลี่ยนวิถีเป็นสำนักชั้นนำเกิดใหม่ที่เหล่าผู้ฝึกตนร่วมกันสร้าง มีศักยภาพที่จะกลายเป็นยอดสำนัก ซึ่งในอดีตเป็นแค่สำนักชั้นสองเท่านั้น แต่มุ่งเน้นวิชาฝ่ายมาร โชคของวังเปลี่ยนวิถีนั้นค่อนข้างดี ด้วยเหตุนี้จึงเปี่ยมไปด้วยพลังความสามารถจนก้าวกระโดดเป็นสำนักชั้นนำตั้งแต่เริ่มตั้งสำนักใหม่
“อ้อ! หมิงอวี้เซิงน่ะรึ ตอนที่ข้ากับพี่หลี่กลับสำนักก็ไปพบมาแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าถังรั่วเวยไม่ค่อยให้ความสนใจนัก
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย! เขาคงจะฝึกวิชายกระดับเสน่ห์อะไรทำนองนั้น ดูลักษณะท่าทางแล้วก็พอใช้ได้”
“แค่นั้นรึ?”
“แค่นั้นแหละ…”
เจียงหลานมองไปที่ถังรั่วเวยด้วยความสงสัย
“หรือว่ารั่วเวยไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ?”
“บอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นอาจไม่จริง แต่คงรู้สึกเหมือนบุรุษยามเห็นนางคณิกามีชื่อกระมัง เพียงแค่ร้องออกมาว่า ‘งดงามนัก’ เสร็จแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นอีก”
หลังจากที่ถังรั่วเวยคิดสักครู่จึงกล่าวตอบ
“อีกทั้ง… ท่านลองคิดดู ย่างก้าวภูตพรายของซูเซียงเสวี่ยนั้นข้าก็ดูมาแล้วหลายหน จะเป็นไปได้อย่างไรที่วิชาของหมิงอวี้เซิงจะมีผลต่อข้า? ลำพังดูแต่หน้า ไม่ดูลักษณะท่าทาง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก”
“น่าริษยาจริง ในฐานะที่เป็นผู้ชาย… ชั่วชีวิตนี้ของข้ายังไม่เคยมีผู้หญิงมากมายขนาดนั้นคอยวิ่งไล่ตาม”
ไป๋ชิวหรานที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจ
“เป็นเพราะข้าไม่หล่อเหลาพอเช่นนั้นรึ?”
“ลำพังเพียงแค่ปากของท่าน ก็ทำให้ผู้หญิงเก้าในสิบส่วนหนีขยาดไปหมดแล้ว!!” ถังรั่วเวยหัวเราะอย่างอำมหิต “สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนเรา ก็คือการรู้ตัวเองดีนะ ท่านอาจารย์”
“หึ!”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปโอบไหล่เจียงหลาน ผู้มองไปยังถังรั่วเวยด้วยแววตาภาคภูมิใจ นางมองจนแม่สาวน้อยกัดฟันเข่นเขี้ยว
“แต่พูดย้อนกลับมา เหตุใดเจ้าต้องพูดถึงเซียงเสวี่ยด้วย”
ไป๋ชิวหรานคิดสักครู่
“รั่วเวย เจ้าคงไม่ได้เหมือนกับหลานสาวของเจ้า ไม่ได้เป็นผู้ชื่นชอบสตรีหรอกกระมัง?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
ถังรั่วเวยกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“จิตใจของข้ายังชอบบุรุษอยู่!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้า…”
“เฮ้อ! เอาล่ะ เอาล่ะ เรื่องของรั่วเวยก็เก็บไว้ให้นางไปจัดการเอาเอง”
เจียงหลานมองถังรั่วเวยสักครู่ จากนั้นดันไป๋ชิวหรานให้เดินไปข้างหน้า
“พวกเราไปจัดการเรื่องสำคัญก่อนเถอะ”
หลังจากที่พากลุ่มคณะแดนเซียนร่อนลงสู่พื้นดินแล้ว เซียนหงเฉินก็สั่งการให้ผู้ตรวจสอบเหล่านี้ร่ายคาถาในทันที จากนั้นเริ่มสืบเสาะค้นหาซากอารยธรรมที่หลับใหลอยู่ในโลกวัตถุรกร้างแห่งนี้
ที่นี่เป็นโลกวัตถุที่เกิดจากการสุ่มทั้งสิ้น ถึงแม้บรรดาเหล่าเซียนทั้งหลายจะคาดคะเนโลกวัตถุถัดไปที่อาจจะมีร่องรอยอารยธรรมปรากฏตามซากอารยธรรมก่อนหน้า ทว่าอย่างไรเสีย ทั้งหมดล้วนคลาดเคลื่อนได้
ในโลกวัตถุเหล่านั้นอาจจะเคยมีอารยธรรมปรากฏมาก่อน ทว่าซากร่องรอยถูกทำลายไปจนไม่เหลือแล้ว หรือบางทีอาจจะไม่เคยมีปรากฏเลยก็เป็นได้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้มีเพียง… ความสงบอ้างว้าง
เนื่องด้วยที่นี่เข้าใกล้กำแพงแห่งความตระหนักรู้ ดังนั้นจึงน่าจะมีความเป็นไปได้มาก
พวกของไป๋ชิวหรานโชคดีไม่น้อย ในโลกวัตถุแห่งนี้ เหล่าบรรดาเซียนทั้งหลายหาเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่จนพบ ดูตามผลของการคาดคะเนแล้ว นั่นคืออารยธรรมสูญหายที่สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้ดังที่พวกเขาคาดหวัง
“ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาแล้วกัน”
เซียนหงเฉินมองไปที่กลุ่มคณะเซียนซึ่งเริ่มตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตน
“ข้าจะคุ้มกันอยู่ตรงนี้ เชิญท่านบรรพชนกระบี่ตามสบาย”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเดินดูโลกวัตถุที่อยู่ใกล้เคียง ถือโอกาสดูด้วยว่ามีเบาะแสของท่านผู้ทรงเกียรติเว่ยอวี้หรือไม่”
ไป๋ชิวหรานเท้าเอวมองไปยังหัวกระโหลกที่อยู่ข้าง ๆ
“จื้อเซียน เจ้าจะอยู่ตรงนี้? หรือว่าจะไปกับพวกเรา?”
มันมองดูซากร่องรอยแห่งนั้น หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงกล่าวว่า
“ข้าไปด้วยจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าอยู่กับเจ้าแล้วอาจจะได้เจอความลับที่น่าสนใจ เรื่องทางนี้รอให้พวกเซียนทั้งหลายถอดความกันออกมา แล้วอาศัยความสัมพันธ์ของเจ้า เพียงเท่านี้ข้าก็สามารถดูได้”