ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 48 ผู้อิ่มหนำสำราญย่อมไม่เข้าใจผู้หิวโหย
บทที่ 48 ผู้อิ่มหนำสำราญย่อมไม่เข้าใจผู้หิวโหย
ถังรั่วเวยใช้เคล็ดวิชาการเคลื่อนไหว หลบหลีกไปมาอยู่ในใต้ชั้นดินอย่างต่อเนื่อง
นางสัมผัสได้ว่าผู้ฝึกตนขั้นแก่นเสมือนที่อยู่ด้านหลังกำลังไล่ตามตนมาอย่างไม่ลดละ เต็มไปด้วยจิตสังหารคั่งแค้น
เป็นความผิดของข้าเสียเมื่อไรกัน… เตือนแล้วว่าหากลงมือก็ต้องตายกันไปข้าง แต่กลับไม่เชื่อกัน ครั้นคนฝั่งตนตายตกไปกลับโทษว่าเป็นความผิดข้าอีกแล้ว
หัวใจหญิงสาวเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ทว่าพลังปราณแก่นแท้ภายในร่างกลับไม่ได้หยุดลง บังคับให้หลบหนีรุดไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง
แท้จริงแล้วเคล็ดวิชาการหลบหนีที่ไป๋ชิวหรานสอนให้นั้นง่ายดายยิ่งนักที่จะหลบหลีกจากผู้ฝึกตนซึ่งบรรลุขั้นแก่นเสมือนของสำนักเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่ถังรั่วเวยเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ดังนั้นจึงจงใจชะลอความเร็วลงเพื่อให้เผยชิงตามทัน!
เหตุใดการกระทำจึงต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเจ้าด้วยเล่า? ทั้งที่อารมณ์ข้าไม่สู้ดีนักเช่นเดียวกัน อายุอานามกันตั้งเท่าไรแล้ว? เห็นว่าท้องฟ้าสูงส่งซ้ำบารมีขององค์ฮ่องเต้ยังอยู่ห่างไกล จึงคิดจะรังแกข้าและพี่จั่วอย่างไรก็ได้งั้นรึ?!
ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งเกิดโทสะ ถังรั่วเวยพลันหยุดชะงักฝีเท้าก่อนจะโผล่ร่างปรากฏขึ้นเหนือชั้นดิน และหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
ฝ่ายเผยชิงซึ่งเหยียบกระบี่บินเหาะตามมา เมื่อเห็นว่าถังรั่วเวยยืนหันหลังให้อยู่อย่างนั้นจึงยิ้มเยาะ
“ฮึ่ม! เจ้าไม่คิดหนีต่อไปแล้วรึ?!”
“ไม่หนีแล้ว ลองมาไตร่ตรองคิดให้ดี เหตุใดต้องเป็นฝ่ายหลบหนีเจ้าด้วย?”
ถังรั่วเวยกล่าวพร้อมหันหลังกลับมามองเผยชิง
“ด้านสำนักของข้า ข้าเป็นศิษย์ที่มีความสามารถสูงสุดแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง ด้านยุทธภัณฑ์เวท… มีกระบี่บินระดับสูงสุดที่ท่านอาจารย์หลอมขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ด้านทักษะการฝึกตน… ฝึกเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดจนบรรลุ และได้เรียนรู้กระบวนท่าที่ไร้เทียมทาน ในแง่ของพรสวรรค์… มีรากฐานวิญญาณสวรรค์ หากจะกล่าวถึงความผิดถูก ข้าพยายามปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ ส่วนเจ้ากลับวางแผนใส่ร้าย ไม่สนใจคำอธิบายแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังเป็นผู้ที่ลงมือก่อน… ฉะนั้นเหตุใดข้าต้องหลบหนีด้วย? ผู้ที่ควรหลบหนีควรจะเป็นฝ่ายเจ้าเสียมากกว่ามิใช่หรอกหรือ?”
“หืม?”
เผยชิงตอบโต้
“นั่นช่วยประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ข้าเปลี่ยนใจแล้วเช่นกัน สาวน้อย… เจ้าฆ่าเผยชาน ฆ่าเผยหยวน หากไม่ชำระแค้นแทนชีวิตพวกเขาเสียบ้าง คงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปอย่างไร้ประโยชน์ยิ่ง!”
“เช่นนั้น…”
ถังรั่วเวยเม้มริมฝีปากแน่น
“ตั้งรับกระบี่นี้ไว้ให้ดี!”
หญิงสาวอ้าริมฝีปากออก แสงสีดำสว่างวาบเปล่งออกมา ความรวดเร็วและพลังของกระบี่เล่มนี้ก็ไวเกินกว่าที่เผยชิงผู้บรรลุการฝึกตนขั้นแก่นเสมือนจะทันได้ตอบสนอง มันพุ่งพรวดเข้าใส่เผยชิงภายในพริบตา
แต่เผยชิงเองก็เตรียมพร้อมตั้งรับอยู่แล้ว เสียงกรอบแกรบดังขึ้น รอบกายมีม่านแสงสีเขียวมรกตปะทุออกครอบคลุม แต่ทำให้กระบี่บินคุนหลิงไม่อาจพุ่งทะลวงผ่านม่านแสงนั้นเข้าไปได้ จึงเคลื่อนกลับมาอยู่ข้างกายถังรั่วเวย
“กระบวนท่านี้ไม่อาจใช้โจมตีระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเอง!”
เผยชิงยิ้มเย้ยหยันพร้อมยกมือขึ้น
“อย่างนั้นหรือ?”
ถังรั่วเวยก้าวเท้าไปข้างหน้าประมาณสองถึงสามก้าว ฝ่ามือหนึ่งพลันผลักออกไปจากตัว พร้อมกับพลังปฐมแม่เหล็กตบไปยังเผยชิงโดยแรง
อีกฝ่ายหนึ่งใช้ฝ่ามือตบออกไปเช่นเดียวกัน ทันทีที่พลังของทั้งสองโจมตี พลังปราณสีดำสนิทและสีเขียวมรกตพลันระเบิดออกจากจุดที่เกิดการปะทะ ทำให้ชั้นดินโดยรอบมีขนาดสูงขึ้นจากเดิมกว่าหนึ่งฉื่อ
“ฮึ่ม!”
เผยชิงถอยหลังกลับไปสองก้าว เลือดลมในร่างพลุ่งพล่าน ใบหน้าแดงระเรื่อ
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะใช้กลวิธีอะไรอีก?”
ถังรั่วเวยไม่สนใจ ยื่นมือออกไปชักกระบี่คุนหลิงหมุนกลับเข้าข้างกาย ก่อนจะส่งกระบี่บินเล่มเดียวกันให้พุ่งตรงไป
แสงกระบี่สีดำพุ่งตรงมาอีกครั้ง เผยชิงผสานหมัดเข้าด้วยกัน แสงสีเขียวมรกตสามารถปัดป้องกระบี่คุนหลิงที่พยายามทะลวงผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“ข้าบอกเจ้าแล้ว กระบวนท่านี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้า!”
เผยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“กระบวนท้ายทมิฬ…”
กล่าวยังไม่ทันจบประโยค ถังรั่วเวยก็ก้าวไปด้านหน้าพร้อมยื่นมือไปตบลงบนด้ามกระบี่บินคุนหลิงโดยแรง
หากพลังของกระบวนท่าเดียวไม่เพียงพอที่จะทะลวงผ่านม่านแสงป้องกัน เช่นนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือการผนวกพลังของทั้งสองกระบวนท่าเข้าด้วยกัน!
ถังรั่วเวยใช้ฝ่ามือรวบรวมพลังอันไร้ที่เปรียบผลักกระบี่บินคุนหลิงออกไป เสริมด้วยกระบวนท่าเพิ่มความคมของปลายกระบี่ เพื่อให้ทะลวงผ่านม่านแสงป้องกันของเผยชิง กระทั่งแทงทะลุกึ่งกลางช่วงอกของเขา พลังปฐมแม่เหล็กแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวอวัยวะภายในของผู้ฝึกตนขั้นแก่นเสมือนก็ปริแตกออกเป็นเสี่ยง
เผยชิงกระอักเลือดออกมากองหนึ่ง ก่อนจะทรุดกายล้มลงกับพื้น เหลือไว้เพียงลมหายใจสุดท้าย ยังไม่ตายตกไปในคราเดียว
“เอ๋ ยังไม่ตายอีกรึนี่? สมแล้วที่เป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงสุด”
ถังรั่วเวยกะพริบตาพร้อมกล่าวชมเชย
“เยี่ยมยอดเสียนี่กระไร”
ทวารทั้งเจ็ดของเผยชิงล้วนมีโลหิตไหลทะลักออกมา เขาจ้องมองถังรั่วเวยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจระคนสยดสยองยิ่ง ทว่าลมหายใจเข้าออกกลับแผ่วลงทุกขณะ…
“ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้”
ถังรั่วเวยส่ายหน้า
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน… ข้าจึงทำได้เพียงให้เจ้าสิ้นใจโดยปราศจากความทุกข์ทรมานเท่านั้น”
นิ้วชี้ของนางกระดกขึ้นพร้อมกับนิ้วกลาง ส่วนนิ้วหัวแม่มือกดลงบนนิ้วก้อยเอาไว้ ก่อนจะเรียกใช้เพลงกระบี่อีกครั้ง กระบี่บินคุนหลิงพลันลอยหมุนวนอยู่เหนือลำคอของเผยชิง
ดวงตาเผยชิงฉายแววยอมแพ้ เขาผ่อนคลายร่างกายลง ไม่กระเสือกกระสนออกแรงอีกต่อไป
“ชาติหน้าจงอย่าลืมเสีย และอย่าได้กระทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้อีก”
ถังรั่วเวยสั่งเสียก่อนจะตวัดแทงกระบี่บินคุนหลิงปักเข้าไปในลำคออีกฝ่าย!
ปลายกระบี่แหลมคมมีเลือดไหลทะลักออกมา ก่อนจะถูกถังรั่วเวยเก็บกลับมาชำระล้างเลือดให้สะอาดเอี่ยม ถังรั่วเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังเก็บกระบี่บินเข้าที่แล้วยกมือขึ้นตบพื้นดิน
พื้นดินบริเวณนั้นถูกตบจนกลายเป็นหลุมลึกความยาวเกือบหนึ่งจั้ง กว้างประมาณครึ่งจั้ง หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณของเผยชิง แล้วยกร่างนั้นขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว แล้วโยนลงไปในหลุม ก่อนจะใช้พลังปฐมแม่เหล็กควบคุมดินและหินรอบข้าง สร้างเป็นป้ายหลุมศพขนาดเล็กเรียบง่าย!
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ถังรั่วเวยจึงปัดฝ่ามือพร้อมหยัดกายลุกขึ้นยืน
“อาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องใดอีกต่อไป อสูรพวกนั้นยังมีเขาที่คอยปกป้อง คาดว่าคงไม่มีผู้ใดในโลกนี้ทำร้ายพวกเราได้อีกแล้ว”
หญิงสาวกล่าวพึมพำกับตนเอง
“ข้ากลับไปหาพี่จั่วก่อนดีกว่า นางต่อกรกับศัตรูอีกสองคนซึ่งสถานะใกล้เคียงกัน การต่อสู้สำหรับนางแล้วคงไม่ง่ายดายไปกว่าข้า”
…
ถังรั่วเวยใช้ทักษะพิเศษของสภาวะธาตุดินไล่ตามจั่วเหยียนเฟยเข้าไปในหุบภูเขา เดินวนไปมาพร้อมใช้พลังปราณกับกลวิธีติดตามร่องรอยที่จั่วเหยียนเฟยเพิ่งสอนให้เมื่อครู่ จนเสาะหาตำแหน่งของจั่วเหยียนเฟยและผู้ฝึกตนอีกสองคนพบได้ในเวลาไม่นาน
หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง นางจึงมาถึงหุบเขาที่จั่วเหยียนเฟย เผยต้าว และเผยชานกำลังสู้กันอย่างดุเดือด เห็นกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำซัดอยู่ภายในหุบเขา แรงพลังนั้นทำให้เผยต้าวกับเผยชานถึงกลับกระเด็นออกไป
ศิษย์สำนักไป่เยว่ทั้งสองล้มลงกองกับพื้น กระอักเลือดออกมากองหนึ่ง ฝีเท้าต่างโซซัดโซเซ ส่วนจั่วเหยียนเฟยก็ถือหอกยาวเดินออกมาจากหุบเขา ชุดเกราะบนร่างถูกฉีกออกเป็นชิ้น เผยให้เห็นผิวกายสีขาวราวหิมะ ทว่าดวงตาแดงก่ำ พลังปราณแก่นแท้สีน้ำเงินอ่อน ๆ ล้อมรอบกาย ดูแล้วเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ราวกับเทพสงครามหญิง!
ถังรั่วเวยมองแวบหนึ่ง และอดที่จะรู้สึกอิ่มเอมใจไม่ได้ จั่วเหยียนเฟยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เรือนร่างถึงได้ดูงดงามหมดจด ปกติแล้วนางสวมชุดเกราะจึงมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ตอนนี้หลังจากที่เกราะแตกออก อวัยวะส่วนที่น่าภาคภูมิของอิสตรีจึงปรากฏให้เห็น ทำให้ถังรั่วเวยนึกอิจฉาไม่น้อย!
“เข้ามา”
จั่วเหยียนเฟยยื่นมือออกไปตรงหน้าเผยต้าวและเผยชาน
“ต่อสู้กันอีกครั้ง!”
“แม่นางผู้นี้เป็นสัตว์อสูรกายจำแลงมาหรืออย่างไรกัน?!”
เผยต้าวหอบหายใจอย่างหนักหน่วงพลางด่าทอ
“ห้าสำนักยิ่งใหญ่แห่งกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรมเป็นเช่นนี้เองหรือ? กองทัพเทพยุทธ์ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ แล้วสำนักกระบี่ชิงหมิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งการต่อสู้แบบตัวต่อตัวจะฉกาจฉกรรจ์เพียงใด…”
“เฮ้ พวกเจ้าอยู่ที่นี่นี่เอง”
ถังรั่วเวยเปิดเผยตัวตนออกไปทักทาย
ศิษย์ทั้งสองจากสำนักไป่เยว่สะดุ้งตกใจสุดตัว เผยต้าวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจทันที
“เหตุใดจึงตามมาที่นี่ได้?! เผยหยวนและศิษย์พี่เผยชิงอยู่ที่ใดกัน?!”
“อ้อ”
ถังรั่วเวยแสร้งทำเป็นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังภูเขาด้านข้างพร้อมเอ่ยว่า
“ข้าฝังเขาไว้บนยอดเขาตรงนั้น”
“สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์แห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง”
จั่วเหยียนเฟยพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ถังรั่วเวย ก่อนหันไปกล่าวกับศิษย์อีกสองคน
“หากยังไม่ยอมพ่ายแพ้ คิดจะต่อกรกับพวกเราอีกหรือไม่?”
เผยต้าวและเผยชานหันมองหน้ากัน จากนั้นเผยชานจึงเป็นฝ่ายยกมือขึ้น
“จอมยุทธ์หญิงทั้งสอง พวกเรายอมพ่ายแพ้แล้ว”
“ดี เช่นนั้นมอบยุทธภัณฑ์เวทมาเสีย”
ถังรั่วเวยเงยหน้าสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนจะออกความเห็น
“ข้ากลับมีความคิดว่าพวกเขาอาจเรียกอาจารย์หรือศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ติดตามมาช่วยเหลือ ดังนั้นจึงควรจัดการให้พ้นทางไปโดยเร็ว บอกตามตรงว่าอาจารย์ของข้าเองก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ซึ่งเขาสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำแม้จะมีจำนวนมากกว่าหนึ่งได้อย่างราบคาบ”
เผยชานยิ้มเจื่อนขณะส่งกระบี่บินและยันต์วิเศษออกจากร่าง ก่อนจะย่อตัวลงคุกเข่าด้วยความระแวดระวัง
เผยต้าวยังคงแสดงท่าทีว่าไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อเผยชานเห็นเช่นนั้นจึงรีบเกลี้ยกล่อม
“ศิษย์พี่ ยอมแพ้เสียโดยดีเถิด ข้าไม่อาจสู้กับพวกนางได้อีกต่อไป นี่ก็ล่วงเลยมาตั้งหนึ่งชั่วก้านธูปแล้ว”
เผยต้าวแค่นเสียงฮึดฮัด แล้วส่งยุทธภัณฑ์เวทที่อยู่กับตนเองออกมาอย่างจนปัญญา
ทั้งสองยกมือขึ้นกุมศีรษะไว้แล้วยอบกายลง ส่วนจั่วเหยียนเฟยกับถังรั่วเวยเดินเข้ามายืนเคียงข้างกัน ถังรั่วเวยมองหน้าอกของจั่วเหยียนเฟยด้วยความอิจฉา
“ทรวดทรงของพี่จั่วช่างงดงามนัก”
“หืม?”
จั่วเหยียนเฟยก้มหน้าลงมอง จากนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะ
“นับว่างามได้อย่างไร? เวลาสวมเกราะกลับรู้สึกเบียดเสียดจนอึดอัด เมื่อต้องหลบหลีกหรือต่อสู้ก็ใช่ว่าจะคล่องตัว… ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของมันคือทำให้ข้าลดภาระการออกกำลังกายเหลือเพียงช่วงไหล่และช่วงเอวเท่านั้น”
ใบหน้าของถังรั่วเวยกลับมืดมนลง นางบ่นพึมพำกับตนเอง
“ผู้อิ่มหนำสำราญย่อมไม่เข้าใจผู้หิวโหย”
จั่วเหยียนเฟยไม่ได้ยินคำพร่ำบ่นจากปากนาง ยอดฝีมือหญิงจากกองทัพเทพยุทธ์เผยรอยยิ้ม ก่อนหันหน้าไปกล่าวกับถังรั่วเวยว่า
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว ควรมัดพวกเขาไว้เสียก่อน จากนั้นค่อย… ระวัง!”
ฉับพลันนางกลับกรีดร้องด้วยความตระหนก แล้วยื่นมือผลักถังรั่วเวยออกไป จากนั้นก็เตะเผยชานและเผยต้าวให้กระเด็นไปอีกทิศทาง ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดออกมา
พริบตาเดียวเท่านั้น จู่ ๆ กลับเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นจากบริเวณพื้นดินโดยรอบ
ถังรั่วเวยถูกผลักจนกระเด็นออกไป หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้วรีบหันหน้ากลับไปมอง
เถาวัลย์สีเขียวมรกตจำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยยืดออกมาจากที่ใดสักแห่ง หนำซ้ำยังบิดเกลียวเป็นเส้น ค่อย ๆ เลื้อยออกมาจากหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน นอกจากเถาวัลย์เหล่านี้แล้ว ยังมีเถาวัลย์อีกจำนวนมากที่กำลังเลื้อยขึ้นมาจากพื้นดินทั่วทั้งเนินเขาและที่ราบ กระทั่งปกคลุมทั่วบริเวณหลายชั้นจนหนาทึบ