ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 491 ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์
บทที่ 491 ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์
บทที่ 491 ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์
ก่อนหน้านี้ไป๋ชิวหรานคิดอ่เสมอว่าระบบคุกของหุ่นกลเหล่านี้ใช้คุมขังเหล่าสัตว์อสูรสำหรับการวิจัย
แต่ตอนนี้… ภายในส่วนลึกที่สุดของคุก มีสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดภายในโลกวัตถุถูกคุมขังเอาไว้
ไป๋ชิวหรานตรวจสอบเข้าไปด้านในและพบว่าคุกห้องนี้ว่างเปล่า มีเพียงผนังเหล็ก และเตียงเล็ก ๆ อยู่ชิดกับผนัง ไม่ไกลจากเตียงมีห้องน้ำเพื่อให้สิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาตนนั้นได้ปลดทุกข์ และยังมีอ่างล้างหน้าสำหรับทำความสะอาดอย่างเรียบง่าย อีกด้านหนึ่งของเตียง มีร่างผอมบางกำลังนั่งคุดคู้อยู่ในมุมมืด
ความมืดบดบังรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างแนบเนียน แต่หุ่นกลที่ถูกควบคุมโดยไป๋ชิวหรานนั้นมีความสามารถในการมองเห็นในที่มืดอย่างทรงพลัง ดังนั้นภายในความมืด ไป๋ชิวหรานจึงสามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน
ผิวสีครามเข้ม เขาคู่หนึ่งบนศีรษะ และหางที่ดูน่าเกลียดตรงบั้นท้าย… นี่คือสิ่งมีชีวิตของอารยธรรมนี้อย่างแท้จริง
อาจเป็นเพราะไป๋ชิวหรานยืนอยู่ที่หน้าห้องนี้นานเกินไป แสงประกายจากดวงตาของหุ่นกลดึงดูดความสนใจของชาวอารยธรรมโลกวัตถุนี้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดตลอดมา เขาค่อย ๆ เปล่งเสียงทักทาย
“เฮ้… เจ้า…”
เสียงของเขาแหบแห้งราวกับลำคอไม่เคยสัมผัสกับน้ำ ถ้อยคำติดขัดราวกับไม่ได้เปล่งเสียงมานานหลายปี และตอนนี้ดูเหมือนเขาคล้ายจะลืมภาษาพูดของตนเอง จึงต้องพยายามรื้อฟื้นความทรงจำอย่างหนัก
“เจ้า… มาใหม่งั้นหรือ? เจ้า… คงจะไม่ใช่… สหายร่วมชาติของข้า?”
“สหายร่วมเผ่าพันธุ์?”
ไป๋ชิวหรานยืนอยู่ตรงประตูคุก เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ
“ก่อนที่จะเข้าพิธีบบรรลุ ข้าคือสหายร่วมชาติของเผ่าพันธุื”
“เช่นนั้นบอกข้าที สหายร่วมเผ่าเอ๋ย… โลกของเรายังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่?”
ชาวอารยธรรมแห่งโลกวัตถุนี้ชรามากแล้ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสื่อมถอยของกล้ามเนื้อ
“เมื่อก่อน? ข้าไม่รู้เลยว่าเมื่อก่อนสถานการณ์เป็นเช่นไร”
ไป๋ชิวหรานพยายามไตร่ตรองคำพูด เขาพยายามไม่ให้ชาวอารยธรรมนี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“ข้ารู้เพียงแค่ตอนนี้เราอยู่ในเมืองหุ่นกลสูงตระหง่าน ปลอดภัย สะดวกสบาย และเรายังใช้วัตถุเคลื่อนย้ายแบบรางในการขนส่งเพื่อแยกสัตว์อสูรอันตรายออกจากถิ่นทุรกันดาร ซึ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่จะก่อเกิดปัญหาในอนาคต พวกเราไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเรียน เพียงแค่เดินเตร็ดเตร่ไปมา ไม่ต้องเหนื่อย ไร้ซึ่งความลำบาก ชีวิตนับว่าดีเยี่ยมแล้ว”
“…”
ชาวอารยธรรมในโลกวัตถุนี้ หรือที่เรียกว่า ‘อารยธรรมหลันผี’ เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะเปล่งเสียง
“แล้วยังมีสหายของเรากี่คนที่ยังคงสำรวจอยู่ภายในป่า?”
“สำรวจ?”
ไป๋ชิวหรานแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมหาเทพหุ่นกลมิใช่หรือ?”
“หืม? เทพ? สวรรค์? ฮ่าฮ่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชาวอารยธรรมหลันผีเอนหลังพิงกำแพง ก่อนจะเลื่อนตัวลงอย่างเชื่องช้าราวกับหมดแรง
“สวรรค์ฆ่าเผ่าของข้า! วิถีสวรรค์สังหารเผ่าพันธุ์ของข้า!!”
วิถีสวรรค์ไม่ควรจะต้องถูกกล่าวโทษเช่นนี้
ไป๋ชิวหรานพร่ำบ่นในใจอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวถาม…
“ความตายของเผ่าพันธุ์ข้าคือสิ่งใด? เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ครอบครัวข้าเกบลายเป็นเทพสวรรค์หมดสิ้นแล้ว”
“สวรรค์นั้นอยู่ที่ใด? สิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้สามารถถูกเรียกว่าเทพสวรรค์ได้งั้นหรือ?”
ชาวอารยธรรมหลันผีคำรามอย่างเดือดพล่าน
“เจ้าโง่! สิ่งที่ไม่ได้เสาะหามาด้วยตนเองมันจะเป็นสรวงสวรรค์ได้เช่นไร!”
เขาตะคอกใส่ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามมหาเทพหุ่นกล ก่อนจะส่ายหัวอย่างอ่อนแรงและพึมพำกับตนเอง
“ลืมไปซะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าหนึ่งอย่าง ความคิดของเจ้าในเวลานี้ถูกผนึกไว้ด้วยกลไกบางอย่างของมหาเทพหุ่นกล”
“พวกเราภักดีต่อมหาเทพหุ่นกลอย่างแท้จริง!”
ไป๋ชิวหรานหยุด พร้อมกล่าวต่อ
“แต่ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย ข้าก็สนใจในสิ่งที่ท่านกล่าวไม่น้อย… เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น? ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”
“เจ้าน่ะหรือสนใจในสิ่งที่ข้ากล่าว?”
อาจเป็นเพราะเขาอยู่คนเดียวมาเนิ่นนาน และเมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ชาวอารยธรรมหลันผีจึงเกร็งนิ้วเท้าเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
เสียงกลไกดังขึ้นขณะที่หุ่นกลของไป๋ชิวหรานพยักหน้า
ชาวอายรธรรมหลันผีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว
“ลืมไปเสีย… สถานการณ์คงไม่อาจเลวร้ายไปมากกว่านี้แล้ว ข้าจะบอกเจ้าอีกหนึ่งอย่าง หากเจ้าต้องการรายงาน การทรยศครั้งใหญ่ เหล่านี้ต่อมหาเทพหุ่นกล ก็จงไปรายงานพวกเขาเสียเถิด!”
เขาเปลี่ยนท่าทีหันหน้าไปทางประตูห้องขัง ก่อนจะกล่าวกับไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่ด้านนอก
“หากเจ้าไม่เลือกเข้าพิธีบรรลุ อายุขัยเฉลี่ยของเผ่าพันธุ์เราคือสามร้อยถึงห้าร้อยปี ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์พวกเราเป็นเช่นไร คงไม่รู้ว่าก่อนมหาเทพหุ่นกลจะถือกำเนิดขึ้น โลกของเรา อารยธรรมของเผ่าพันธุ์เราเป็นอย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ
“ในเวลานั้น โลกของเราและเผ่าพันธุ์ของเรายังไม่ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเราถูกแบ่งออกเป็นหัวเมืองต่าง ๆ นับไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ และบนโลกมิติในบ้านเกิดของพวกเรา ทั้งหมดต่อสู้กันเองเพื่อที่จะหลอมรวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน”
ชาวอายรธรรมหลันผีมองขึ้นไปบนเพดานห้องขังที่มืดมิด
“ในสมัยนั้น.. ชีวิตในโลกวัตถุของพวกเราไม่ได้ดีเท่าปัจจุบัน แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยสงคราม ความยากจน และความอดอยากที่คร่าชีวิตของสหายร่วมชาติไปมากมาย ในสมัยนั้นผู้ปกครองพวกเราก็ยังไม่ฉลาด เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของคนโง่เขลาที่ละโมบมุ่งร้าย สุดท้ายแผ่นดินของเราจึงค่อย ๆ พังทลายลง”
“แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากตอนนี้คือ ณ เวลานั้นความคิดของพวกเราเต็มไปด้วยชีวิตชีวา… พวกเราทราบดีว่าอุปกรณ์ของเราถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร ประวัติศาสตร์พัฒนาไปอย่างไร และระบบทั้งหมดพวกเราสร้างมันขึ้นเองเพื่อควบคุมตนเอง เรารู้ถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น แม้เราจะมีข้อบกพร่องมากมาย แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเราก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา”
ชาวอารยธรรมหลันผีหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“แน่นอน… สิ่งที่ข้ากล่าวก็คือเมื่อหกหรือเจ็ดพันปีที่แล้ว และข้าไม่เคยสัมผัสสิ่งนั้นด้วยตนเองหรอก”
“แล้วท่านทราบเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม
“ข้าเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์…”
ชาวอารยธรรมหลันผีจับจ้องไป๋ชิวหราน
“ทุกวันนี้ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์อีกแล้ว และจะไม่มีผู้ใดได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์อีกต่อไป!”
“แล้วท่านได้ลองค้นคว้ามันแล้วหรือยัง?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม
“แน่นอน ก่อนหน้าที่ข้ายังไม่ถูกจับ ข้าเข้าออกป่าหลายครั้งและพยายามติดตามร่องรอยของประวัติศาสตร์ ข้าพบวิหารมากมายที่บ่งบอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้”
ชาวอารยธรรมหลันผีกล่าวอย่างหงุดหงิด
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาหรือไม่?”
“ไม่!”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“โปรดกล่าวต่อเถิด…”
“จากนั้น ก็มีผู้หนึ่งเข้ามา ก่อนจะนำกลุ่มมหาเทพหุ่นกลอันยิ่งใหญ่สู่โลกของเรา พวกมันใช้ความแข็งแกร่งที่มีเพื่อยึดครองโลกของเราภายในช่วงเวลาสั้น ๆ”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของชาวอารยธรรมหลันผี
“ในคราวแรก ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก มหาเทพหุ่นกลเต็มใจที่จะแบ่งปันความรู้ของพวกมันให้กับเรา และบางคนในเผ่าพันธุ์ของเราเต็มใจที่จะสละร่างกายเพื่อเข้าร่วมเป็นหนึ่งในมหาเทพหุ่นกลในการสู้รบเพื่อเกียรติยศ แต่แล้ว… มหาเทพหุ่นกลก็ควบคุมพวกเรามากขึ้น มันยกเลิกทุกสิ่งของเผ่าพันธุ์ ทั้งโรงเรียน กองทัพ สถาบันค้นคว้า และกักขังผู้เชี่ยวชาญหลากแขนงทุกคนที่ฉลาดเกินไป พวกมันกักขังเราเช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน”
“แต่… เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเราเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน”
ไป๋ชิวหรานเริ่มเข้าใจแล้วว่าชาวอารยธรรมหลันผีผู้นี้หมายถึงสิ่งใด แต่เพื่อเห็นแก่ความคิดที่โบราณคร่ำครึ และชายชราตรงหน้าที่ยังสับสน เขาจึงเล่นละครต่อไป
“แล้วคนเหล่านั้นก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายใช่หรือไม่?”
“เจ้าไม่เข้าใจ …เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้ากล่าวงั้นหรือว่ามีเพียงสวรรค์ที่พวกเราไขว่คว้ามาเองเท่านั้น จึงจะคู่ควรต่อการเรียกขานว่าสรวงสวรรค์ที่แท้จริง?”
ชาวอารยธรรมหลันผีกล่าวแผ่วเบา
“ในเมื่อคืนนี้เจ้าได้อยู่เวรยามกลางคืน ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะได้เห็นสัตว์อสูรเหล่านั้นที่ถูกขังอยู่ก่อนหน้าห้องของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นเมื่อหลายพันปีก่อน พวกมันล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายรธรรมอย่างแท้จริง!”