ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 5 เกลี้ยกล่อมให้ดื่มสุรา
บทที่ 5 เกลี้ยกล่อมให้ดื่มสุรา
เมื่อกลุ่มโจรทั้งหมดถูกสังหาร ไป๋ชิวหรานจึงเก็บกระบี่เข้าฝัก
“น้องชาย” เขายื่นมือให้เด็กหนุ่มอีกฝ่าย “ขอบคุณน้องชายที่เข้ามาช่วย ข้ายังไม่ทราบชื่อของเจ้าเลย?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและไม่ตอบไป๋ชิวหราน ทว่าถามกลับ “พวกเขาหนีไปหมดแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องสังหารทั้งหมด? ท่านต้องไว้ชีวิตและให้อภัยพวกเขาสิ”
“ดูพวกเขาให้ดีน้องชาย เจ้าคิดว่าพวกเขารู้จักคำว่าไว้ชีวิตและการให้อภัยงั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานส่ายหัวก่อนจะยิ้มตอบ “วันนี้พวกเขาล้มเหลว อีกทั้งเจ้าและข้ายังปล่อยให้พวกเขาหนีไป วันพรุ่งนี้หรือวันต่อ ๆ ไปพวกเขาก็ลืมความกลัวในวันนี้ จากนั้นก็เริ่มจับอาวุธปล้นสะดมผู้คนอีกครั้ง คนที่ถูกพวกเขาดักปล้นในครั้งต่อไปอาจไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตัวเองเหมือนเจ้ากับข้า กำจัดภัยร้ายในวันนี้เพื่อช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ในอนาคต”
เด็กหนุ่มผู้นั้นกัดฟันแน่นและเงียบไปชั่วครู่
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดสิ่งใดกลับ ไป๋ชิวหรานจึงถามต่อ “น้องชาย ข้าถามชื่อเจ้าไปแล้วใช่หรือไม่?”
“ทราบชื่อของข้าไปจะมีประโยชน์อันใด?” เด็กหนุ่มเอากระบี่กลับเข้าฝักพร้อมกล่าวเบา ๆ “ได้พบเจอกันโดยบังเอิญ พบความอยุติธรรมกลางถนนจึงชักกระบี่ช่วยเหลือกัน ลาก่อน”
“อ๊ะ ช่างเป็นการพบกันเพราะโชคชะตา” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชายเข้ามาช่วย เช่นนั้นข้าควรเชิญน้องชายไปดื่มเสียหน่อย”
“ด้วยความแข็งแกร่งระดับท่านนั้นแทบไม่ต้องการความช่วยเหลือใดเลย เป็นข้าเองที่เข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เด็กหนุ่มยังคงปฏิเสธ “ข้าไม่คู่ควรเป็นคู่ดื่มกับท่านหรอก”
“ไม่ ๆๆ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะแข็งแกร่งหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือความกล้าหาญ ความกล้าหาญที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้คนกลางทาง ข้าคิดว่ามันมีค่าอย่างยิ่ง” ไป๋ชิวหรานกล่าวจริงจัง
“ข้าพูดไปหมดแล้ว แต่น้องชายยังปฏิเสธจะบอกชื่อแซ่ มันช่างน่าผิดหวังนัก”
เด็กหนุ่มแสดงความลังเลออกมาเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันพูด “ข้าชื่อว่าถังเวย”
“เป็นน้องถังนี่เอง” ไป๋ชิวหรานจับมือของเขา จากนั้นจึงไปนำม้าที่วิ่งหนีเพราะตกใจกลับมา
“น้องถัง เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่ามีร้านอาหารอยู่แถวไหนบ้าง? วันนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ดี เช่นนั้นจึงต้องการเลี้ยงสุราเจ้าเสียก่อน”
หนึ่งชั่วยามต่อมา ไป๋ชิวหรานและถังเวยก็เข้ามานั่งในร้านอาหารป่าถัดจากเส้นทางสัญจรสายหลักไม่ไกลนัก
บนโต๊ะมีสุราโบราณที่เรียกว่าเซ่าเต้าซือ และเนื้อวัวปรุงสุกสองชิ้นพร้อมกับเครื่องเคียงประดับให้ดูน่ารับประทาน
“มา น้องถัง จอกนี้ข้าขอชนกับเจ้า” ไป๋ชิวหรานหยิบจอกสุราและพูดกับถังเวยอย่างตื่นเต้น
“อะ…”
ถังเวยยกจอกสุราขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เขายื่นไปชนกับไป๋ชิวหรานก่อนจะจิบนิดหนึ่ง
สุราที่ไหลผ่านเข้าไปในลำคอของเขาราวกับไฟที่โหมกระหน่ำ ถังเวยหันหน้าหนีด้วยใบหน้าที่ไม่เต็มใจและแอบแลบลิ้นออกมาเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ไป๋ชิวหรานเห็น
“น้องถัง นี่คงเป็นการดื่มครั้งแรกของเจ้า” เมื่อเห็นถังเวยดูไม่เป็นธรรมชาติ ไป๋ชิวหรานจึงเผยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องดื่มมากเกินไป สิ่งที่สำคัญของการดื่มคือบรรยากาศ การเมามายไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว มันยังส่งผลเสียต่อร่างกายด้วย”
“ดูไม่เหมือนคนที่ชวนข้าดื่มเมื่อครู่เลยนะ” ถังเวยถอนหายใจและวางจอกสุราในมือลง
“ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าทำแบบนี้เพราะต้องการเป็นสหายกับเจ้าเท่านั้น” ไป๋ชิวหรานหัวเราะพร้อมกล่าว “เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเพียงใดในการได้พบคนที่มีความคิดเช่นเดียวกัน และได้ดื่มด้วยกัน?”
“มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส” ถังเวยถอนหายใจ “ข้าอยู่ระหว่างทางทำธุระอยู่”
“ข้าก็เช่นกัน” ไป๋ชิวหรานกล่าวอีกครั้ง “แต่พันปี…เอ่อ เมื่อนานมาแล้ว ข้าได้ค้นพบว่าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลกับเส้นทางแห่งชีวิตมากนัก มุ่งความสนใจไปที่สิ่งรอบข้างและเพลิดเพลินกับมันจะดีกว่า นั่นแหละคือความหมายของชีวิต เหมือนกับข้าเมื่อก่อนที่มุ่งมั่นกับสิ่งหนึ่งมากเกินไปจนละเลยสิ่งรอบข้าง ตอนนี้ถึงข้าจะมีสิ่งที่ต้องทำแต่ก็ไม่รีบร้อนแล้ว”
ไม่ว่าอย่างไรผู้คุมวิญญาณก็ไม่อาจเอาชนะเราได้
เขาแอบพูดประโยคนี้ในใจ
“รีบร้อนอะไร ข้าว่าท่านก็ดูสบาย ๆ ดีนะ” ถังเวยบ่นพึมพำ “เช่นนั้นลองบอกสิ่งที่ท่านกำลังจะไปทำให้ข้าทราบหน่อยสิ ท่านกำลังจะไปที่ไหน?”
“ครั้งนี้ข้าออกมาเพื่อหาสมุนไพรบางชนิด และนำไปใช้เอง” ไป๋ชิวหรานคีบเนื้อสุกด้วยตะเกียบพร้อมเอ่ยตอบ “สำหรับสถานที่นั้น ข้าจำได้ว่ามันอยู่ตรงภูเขาเหมิงตรงกลางรัฐซ่างเสวียน อืม ข้าไม่ทราบว่าตอนนี้มันยังชื่อนั้นอยู่หรือไม่”
“ท่านกำลังไปภูเขาเหมิงงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังเวยดูประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง มีเหตุอันใดหรือเปล่า?” ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เปล่า แค่มีปีศาจอาศัยอยู่บนภูเขาเมื่อไม่นานมานี้ มันกินผู้คนเป็นอาหาร ข้าได้ยินมาว่าคนจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อนจากพวกมัน แม้แต่ยอดฝีมือจากสำนักบ่มเพาะพลังก็ยังสู้มันไม่ได้”
ถังเวยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ที่จริงปลายทางของข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน”
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ” ไป๋ชิวหรานยิ้ม “แต่ข้าได้ยินมาว่ากู่โจวเป็นเขตดูแลของสำนักกระบี่ชิงหมิง หากมีปีศาจมาวุ่นวายที่โลกมนุษย์ เหตุใดถึงไม่ไปสำนักกระบี่ชิงหมิงล่ะ พวกเขาน่าจะยินดีในกำจัดภัยให้มนุษย์ไม่ใช่หรือ?”
“ฮึ่ม สำนักกระบี่ชิงหมิง” เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าของถังเวยก็เปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ทันทีพร้อมพ่นลมหายใจออกมา “พวกเขาสามารถทำได้ง่าย ๆ แต่พวกเขากลับแสวงหาแต่ความดีจากสิ่งเหล่านี้ พวกผู้ฝึกตนนั้นไม่ใช่คนดี!”
“ดูเหมือนน้องถังจะมีปัญหากับสำนักกระบี่ชิงหมิง” ไป๋ชิวหรานถามเงียบ ๆ
“พวกผู้ฝึกตนรับเครื่องเซ่นจากรัฐต่าง ๆ ในกู่โจวทุกปี อีกทั้งยังบอกว่ามันเป็นการปกป้องโลกและเส้นทางอันชอบธรรม แต่ตอนนี้ผู้คนในรัฐซ่างเสวียนกำลังเดือดร้อน แล้วพวกผู้ฝึกตนไปอยู่ไหนกันหมด?” ถังเวยกล่าวด้วยโทสะ
“แต่ความตั้งใจของสำนักกระบี่ชิงหมิงคือไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องราวในโลกมนุษย์ ข้าได้ยินข่าวมาระหว่างเดินทาง ตอนนี้สถานการณ์ในรัฐซ่างเสวียนเกิดจากพวกชนชั้นสูง เช่นนั้นสำนักกระบี่ชิงหมิงก็มีเหตุผลในเรื่องนี้” ไป๋ชิวหรานกล่าว “อย่างไรก็ตามหากมีใครสักคนขึ้นเขาไปขอให้ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงช่วยปกป้องภัยจากปีศาจ ข้าเชื่อว่าพวกเขาต้องตกลงแน่”
“ไม่ยุ่งกับเรื่องราวในโลกมนุษย์?” ถังเวยเอ่ยเยาะเย้ย “ท่านทราบหรือไม่? หนึ่งในอาจารย์ที่อยู่รัฐซ่างเสวียนถูกส่งมาจากสำนักกระบี่ชิงหมิง เขาทำให้จักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนและองค์ชายแตกคอกัน ทั้งยังเพิกเฉยต่อชาวบ้าน มุ่งแสวงหาแต่หนทางอายุยืน ไม่ยุ่งกับเรื่องราวในโลกมนุษย์งั้นหรือ ช่างน่าขันนัก”
“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้ว
เดิมทีเขาไม่ต้องการยุ่งกับเรื่องของรัฐซ่างเสวียน แต่หากมีคนในสำนักกระบี่ชิงหมิงเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เช่นนั้นเขาในฐานะผู้อาวุโสของสำนักย่อมอยู่เฉยไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ขยะจากสำนักกระบี่ชิงหมิง หรือมีคนใช้ชื่อสำนักกระบี่ชิงหมิงทำเรื่องเช่นนี้ เขาก็ต้องจัดการกับมันเพื่อไม่ทำให้สำนักที่สร้างโดยอาจารย์ของเขาต้องอับอาย
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเข้าไปในรัฐซ่างเสวียนหลังจากรวบรวมสมุนไพร ไป๋ชิวหรานก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ทันที
“น้องถัง ในเมื่อพวกเรามีจุดหมายปลายทางคือภูเขาเหมิงเช่นเดียวกัน ระหว่างทาง พวกเรามาร่วมเดินทางเพื่อระวังหลังให้กันจะดีหรือไม่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”