ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 500 ในเมื่อไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ ก็จัดการมันทั้งคู่เสีย!
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 500 ในเมื่อไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ ก็จัดการมันทั้งคู่เสีย!
บทที่ 500 ในเมื่อไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ ก็จัดการมันทั้งคู่เสีย!
บทที่ 500 ในเมื่อไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ ก็จัดการมันทั้งคู่เสีย!
เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยเข้ามาในห้องครัว และเห็นว่าจี้หลิงอวิ๋นและหลีจิ่นเหยากำลังถกเถียงกันอยู่จริง ๆ
ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างโต้เถียงถึงความผิดของกันและกัน ในขณะที่กำลังเย้ยหยัน หลีจิ่นเหยาถึงกับดับไฟบนเตา แววตาเฉียบแหลมของซูเซียงเสวี่ยเห็นว่าแม่นางน้อยกำลังจะพุ่งเข้าหามีดทำครัวบนเขียง จึงรีบรุดเข้าไปหยุดนางอย่างรวดเร็ว!!
“โอ้! จิ่นเหยา เจ้าลืมไปแล้วหรือ!” นางกล่าวเตือน “ประมุขจี้คืออาจารย์ของเจ้า”
เจียงหลานคว้าจี้หลิงอวิ๋นไว้เช่นกัน!
“ท่านประมุขจี้! ท่านก็ควรจะใจเย็นให้มาก!!” นางอดไม่ได้ที่จะลากจี้หลิงอวิ๋นออกมา “แม้จิ่นเหยาจะเป็นศิษย์ของท่านก็จริง แต่อย่างไรในตอนนี้ท่านไม่สามารถเอาชนะนางได้”
ในขณะที่กำลังเกลี้ยกล่อม ทั้งเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ เดิมทีพวกเขาตั้งใจมารับชมอาจารย์และศิษย์ทะเลาะกัน แต่หลีจิ่นเหยากลับริเริ่มหยิบมีดมาใช้! หากเข้ามาไม่ทันแล้ว จี้หลิงอวิ๋นคงจะได้กลับออกไปด้วยสภาพร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวพร้อมนอนอยู่บนเปล ….เจวี๋ยอวิ๋นจื่อคงต้องแบกนางกลับสู่พันธมิตรผู้ฝึกตนในสภาพไร้วิญญาณ
ทั้งสองรีบแยกผู้ทะเลาะออกจากกันอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด
“สาวน้อย!” ในขณะที่เจียงหลานกำลังลากนางออกไป จี้หลิงอวิ๋นตะโกนใส่หลีจิ่นเหยาพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างแรง “อย่าได้ลืมว่าผู้ใดเป็นคนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เจ้า!”
“แม่เฒ่าเอ๋ย! ห่วงตัวเองก่อนเถิด!!” หลีจิ่นเหยายืนอยู่หลังเตาก่อนจะกล่าวตอบ “ตอนนี้ข้าเป็นภรรยาและมารดาที่ยอดเยี่ยม จึงไม่รู้สึกสนิทชิดเชื้อกับท่านแล้ว!”
“โอ้สาวน้อย! เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ?” จี้หลิงอวิ๋นโกรธมาก แต่ในที่สุดนางก็ไม่อาจอดทนต่อเรี่ยวแรงของเจียงหลานได้ และเวลานี้นางถูกเจียงหลานลากออกไปด้านนอกแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงดังโวยวาย เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ออกมาจากห้องด้วยเช่นกัน เขายืนอยู่กลางลานพร้อมกับมองไปทางห้องครัว
เมื่อเห็นว่าจี้หลิงอวิ๋นถูกเจียงหลานลากออกมา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏพลันขึ้นบนใบหน้าของเขา
“หลิงอวิ๋นน้อย ดูเหมือนข้าจะเห็นว่าจิ่นเหยาทุบตีเจ้าแล้ว”
“กลับ!”
จี้หลิงอวิ๋นตะโกนใส่เขาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น
“จะกลับแล้วหรือ?”
เจียงหลานมองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยความสงสัย
“อย่างไรก็คงต้องกลับแล้วท่านอาจารย์”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเกาศีรษะพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า… ช่างไร้ความคิดเสียจริง”
เจียงหลานมองนาง จากนั้นมองจี้หลิงอวิ๋นด้วยรอยยิ้มที่แข็งทื่อ
“ช่างเป็นคู่ที่ดูสุขสันต์นัก” นางส่ายศีรษะก่อนจะกล่าว “อ่า …ในที่สุดก็ยอมพ่ายแพ้”
ในเวลานี้ซูเซียงเสวี่ยเดินออกจากห้องครัวในชุดสีขาวด้วยท่วงท่าสง่างาม นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะมองจี้หลิงอวิ๋นพร้อมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านประมุขจี้ ท่านยั่วยุอะไรนาง?”
“อะไรกัน? ไม่ใช่ข้าหรอกหรือที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ทั้งเช็ดก้นให้นางเมื่อครั้งแบเบาะ แล้วตอนนี้ข้ากลับไม่อาจกล่าวคำใดกับนางได้เลย?”
จี้หลิงอวิ๋นตัดพ้อ
“ไม่ใช่เช่นนั้น เวลานี้ชิวหรานไม่อยู่บ้าน และซวี่เซียงก็ไม่อยู่เช่นกัน …จิ่นเหยาจึงไม่ค่อยมีความสุขนัก”
ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจพร้อมยกมือปิดใบหน้า
“กล่าวตามตรง ช่วงนี้ข้าก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อยเช่นกัน…”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพึมพำ แล้วจี้หลิงอวิ๋นจึงกล่าวถามอย่างสงสัย
“การที่บรรพชนกระบี่หายไปมันเกี่ยวข้องกับเรื่องปวดหัวของเจ้าหรือ?”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” คำพูดของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อนั้นเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อ “ก็เจ้ายังโสด…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จี้หลิงอวิ๋นยกมือขึ้นพร้อมประเคนศอกให้เขาเต็มแรง!
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเจ็บปวด เอามือกุมท้องพร้อมหมอบลงอย่างรวดเร็ว
“งาช้างไม่เคยงอกออกจากปากสุนัข!”
จี้หลิงอวิ๋นถ่มน้ำลายใส่เขา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นและย่องเข้าไปในครัวเพื่อมองดูร่างสีแดงที่กำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตาอีกครั้ง
เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยขบขัน ก่อนจะติดตามจี้หลิงอวิ๋นเข้าไปในครัว ในเวลานี้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเย็นชา
เขามองเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วของเขามีเข็มบางปรากฏก่อนจะหันไปทางซูเซียงเสวี่ย
ผ่านไปชั่วขณะ ข้อมูลปรากฏขึ้นในดวงตา เขาดึงมือกลับก่อนจะหันไปหาจี้หลิงอวิ๋นที่อยู่ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีเสียงดังขึ้นจากประตูด้านหลัง ซึ่งทำให้ทุกคนหันศีรษะออกไปพร้อมกันด้วยความตื่นตระหนก แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกลับวิ่งออกไปด้านนอก
“เจ้าปีศาจ กล้าดีอย่างไรจึงคิดเผชิญหน้ากับข้า!” เขาจับหลังคอของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพร้อมคำรามเสียงดัง “ข้าสมควรจัดการเจ้าเช่นไร!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนถึงกับตกตะลึง แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่ยืนอยู่ในสนามเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งตรงเข้าหาเจวี๋ยอวิ๋นจื่ออีกคนที่กำลังวิ่งออกจากห้อง! ในขณะที่ทุกคนยังคงสับสน พวกเขาจึงต่อสู้กันอยู่ในมุมหนึ่งของลานเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ย
เมื่อทุกคนวิ่งมาพบ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองคนทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นแล้ว และมันยากที่จะบอกได้ว่าผู้ใดคือตัวจริง…
เมื่อเห็นทุกคนมาถึง ทั้งสองรีบแยกออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างยืนขึ้นก่อนจะชี้ใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่เหมือนกันแล้วตะโกนลั่น!
“มันคือตัวปลอม!!” จากนั้นเขาก็ชี้ใบหน้าของตนเองแล้วตะโกนพร้อมกัน “ข้าคือตัวจริง!”
ทั้งสองหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะมองจ้องกันด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นจึงตะโกนออกมาอย่างไร้เหตุผล
“เจ้าคิดจะเลียนแบบท่าทางของข้าอีกนานไหม?!”
“เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว!”
จี้หลิงอวิ๋นผลักทั้งสองคนออกไป
“หุบปากไปเลย ข้าคือตัวจริง!”
“หลิงอวิ๋นน้อย เจ้าต้องเชื่อข้า!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองพุ่งเข้าหานาง พร้อมกับตะโกนใส่นางด้วยท่าทีเหมือนกันราวกับแกะ
จี้อวิ๋นจื่อมองซ้ายและขวา แต่นางก็ไม่สามารถค้นหาความแตกต่างได้ ดังนั้นนางจึงหันศีรษะมองซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซูเซียงเสวี่ยพลิกฝ่ามือของนางก่อนจะปรากฏพิณปีศาจขึ้น นางเล่นมันเบา ๆ เผยเสียงไพเราะชวนหลงใหล ใบหน้าของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อราวกับสุกรที่กำลังโง่งม
“ไม่มีความแตกต่างทั้งความแข็งแกร่งและจิตวิญญาณของทั้งสองเลย!”
ผู้นำสำนักเหอฮวนถึงกับส่ายศีรษะ พร้อมกับหันมองเจียงหลาน
เจียงหลานก้าวไปด้านหน้า ดวงตาของนางเปล่งประกายแสงสีทองพร้อมกับตรวจสอบเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ หลังจากตรวจสอบเสร็จสิ้น นางก็ใช้สัมผัสเทวะเพื่อตรวจสอบผู้นำสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างละเอียดอีกครั้ง
“เส้นลมปราณ ไขกระดูก จุดจื่อฝู จิตวิญญาณ แม้กระทั่งจิตสำนึกล้วนแต่เหมือนกันทุกประการ!”
เจียงหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะแล้วพึมพำ
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ใบหน้าของนางเผยความระมัดระวัง แม้เจียงหลานเองจะไม่เก่งกาจในการตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ แต่ขอบเขตการฝึกฝนของนางก็สูงที่สุด เจียงหลานคือผู้ฝึกตนหมายเลขหนึ่งแห่งจักรพรรดิเซียน แต่อีกฝ่ายที่แสร้งทำเป็นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกลับสามารถหลอกลวงนางที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนแห่งซากปรักหักพังหวนคืนได้
เจียงหลานไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในบรรดาอารยธรรมที่รู้จักในความว่างเปล่าปัจจุบัน สิ่งเดียวที่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้น่าจะเป็นอารยธรรมหุ่นกลที่อยู่ในโลกวัตถุอีกด้านหนึ่ง
เป็นเพราะอีกฝ่ายส่งสายลับมาที่นี่ นั่นหมายความว่าไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยที่แฝงตัวอยู่ภายในเผ่าหุ่นกลอาจถูกเปิดเผยแล้ว
“ข้าเสียใจด้วย…” หลังจากไตร่ตรองทุกสิ่งเสร็จสิ้น เจียงหลานมองจี้หลิงอวิ๋นพร้อมกล่าวขอโทษ “ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดคือตัวจริง”
“แม้แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถงั้นหรือ?” จี้หลิงอวิ๋นตกตะลึงชั่วขณะ นางหันมองฝั่งตรงข้าม และเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองคนยังคงแสดงท่าทีเหมือนกันไม่หยุด พร้อมจับจ้องนาง “โอ๊ย! ข้ารำคาญแล้ว!”
ผู้นำสำนักอสูรสวรรค์เกาศีรษะอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกำหมัดแน่นแล้วเดินตรงไปด้านหน้า
“ข้ารู้! ตัวปลอมคือเจ้า!”
จากนั้นนางเหวี่ยงหมัดขวากระแทกใบหน้าของเจวี๋ยอวิ๋นจื่ออย่างรุนแรง
“อ๊าก!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเขากระเด็นไปติดอยู่บนผนังห้อง และถูกฝังอยู่บนผนังห้องอย่างไร้ทางหลบเลี่ยง
แปะ แปะ แปะ!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่อยู่ทางซ้ายก็ปรบมืออย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวว่า
“ยอดเยี่ยมแล้ว หลิงอวิ๋นน้อยสามารถแยกออกได้ด้วยตา…”
ตูม!
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจบประโยค จี้หลิงอวิ๋นก็เหวี่ยงหมัดซ้ายพร้อมส่งร่างของเขาลอยออกไป!!
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถูกฝังไว้ที่ด้านซ้ายและขวาของผนังด้วยท่วงท่าเดียวกัน จี้หลิงอวิ๋นปัดกำปั้นพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา
“ในเมื่อไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ เช่นนั้นก็จัดการมันทั้งคู่ซะ!!”