ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 501 แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คือ
บทที่ 501 แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คือ…
บทที่ 501 แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คือ…
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเสียงดังเช่นนี้?”
หลีจิ่นเหยาถอดผ้ากันเปื้อนแล้วแขวนไว้บนผนังของครัว จากนั้นเดินออกจากครัวแล้วยื่นหน้าออกจากประตูเพื่อกล่าวถาม
สิ่งที่ปรากฏคือเจวี๋ยอวิ๋นจื่อสองคนนอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าฟกช้ำ และอาจารย์ของนางก็ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวคล้ายสตรีวัยทอง
ตอนที่เพิ่งได้ยินเสียงกรีดร้องของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและเสียงคำรามของจี้หลิงอวิ๋น ตอนนั้นนางก็ไม่ได้สนใจ แต่ภาพตรงหน้านี้คืออาจารย์ของนางสามารถทุบตีปรมาจารย์แห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงได้!
ทันทีที่หลีจิ่นเหยาออกมา นางก็เห็นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อสองคนนอนอยู่บนพื้นแล้ว
แปลกนัก… สำนักกระบี่ชิงหมิงมีเวทแยกร่างตั้งแต่เมื่อใดกัน!?
“จิ่นเหยา! มานี่สิ!”
เมื่อเห็นว่านางออกมาแล้ว ซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานรีบโบกมือ
“เหมือนกันขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลีจิ่นเหยาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะวิ่งเข้าหาสตรีทั้งสอง
“มีบางสิ่งลักลอบเข้ามา และแฝงตัวเป็นปรมาจารย์เจวี๋ยอวิ๋นจื่อ!” เจียงหลานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสงสัยว่าจะเป็นสายลับจากเผ่าหุ่นกล”
“เอ๊ะ?”
หลีจิ่นเหยานึกถึงไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยที่ลอบแฝงตัวเข้าไปส่วนลึกของศัตรูทันที
“ถ้าเช่นนั้น… ก็ไม่สามารถปล่อยให้มันหนีออกไปได้!!”
“รู้แล้ว แต่ปัญหาในตอนนี้คือ…” ซูเซียงเสวี่ยมองทั้งสองคนที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น “ทั้งเจียงหลานและข้าต่างก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดคือตัวจริง!?”
“ข้าปิดผนึกลานแห่งนี้แล้ว มันไม่อาจหลบหนีออกไปได้แน่!”
เจียงหลานมองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ
“ตอนนี้ข้าคงต้องทุบตีปรมาจารย์เจวี๋ยอวิ๋นจื่อต่อไป… ก่อนหน้านี้อาจารย์ของเจ้าทุบตีทั้งสองมากว่าหนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่ตัวปลอมก็ยังไม่เผยตัว และดูท่าทีว่าพวกมันคงไม่คิดจะยอมเผยตัวโดยง่ายด้วย!”
หลีจิ่นเหยามองสำรวจสองร่างที่เหมือนกันตรงหน้า และพบว่าจี้หลิงอวิ๋นที่ใกล้จะล้มลง เหงื่อท่วมโทรมกาย ผมสีดำเกาะติดใบหน้า แกมแดงฉ่า นางทุบตีคนอื่นจนเหนื่อยหอบไปหมด
“โอ๊ย!?!” นางมองไปยังเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้นอย่างอับจนปัญญา “เหตุใดข้าจึงไม่รู้มาก่อนว่าไอ้ตัวบัดซบสามารถอดทนต่อการทุบตีได้นานเพียงนี้!?”
“เขาฝึกฝนเคล็ดกระบี่ทองคำของชิวหรานแล้ว และเวลานี้เขาเข้าสู่ขั้นมหายานด้วย”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวตอบ
“ปรมาจารย์เจวี๋ยอวิ๋นจื่อไม่เพียงแต่ครอบครองเคล็ดกระบี่ทองคำที่ทรงพลัง แต่ในร่างกายยังเต็มไปด้วยกระดูกที่แข็งแกร่ง เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะทนมือทนเท้า…”
“ช่างเป็นกระดูกที่ปัญหาเยอะเสียจริง!!” จี้หลิงอวิ๋นสาปแช่งด้วยความโกรธ จากนั้นจึงกล่าวกับซูเซียงเสวี่ย “โอ๊ย! แย่แล้ว! แล้วเหตุใดบรรพชนกระบี่จึงต้องสอนทักษะของสำนักกระบี่ชิงหมิงให้กับเจ้า? ไม่ใช่ศัตรูหรือ”
“จะนับเป็นศัตรูกันได้อย่างไร ตอนนี้ทุกคนคือสมาชิกของพันธมิตรผู้ฝึกตนแล้วนี่?” ซูเซียงเสวี่ยยักไหล่ “นอกจากนี้ อาวุโสทุกคนของสำนักกระบี่ชิงหมิงยังทราบย่างก้าวภูตพรายที่ข้าฝึกฝน แล้วแบบฝึกนี้ก็ถูกเก็บไว้ในสำนักกระบี่ชิงหมิงด้วย”
“คงจะหลอมรวมกันมานานแล้ว…” จี้หลิงอวิ๋นกล่าวพึมพำ “ข้านี่โง่เขลาจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่สำนักอสูรสวรรค์จะไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าผู้อื่น!”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” หลีจิ่นเหยากล่าวกับนาง “อาวุโสชิวหรานและข้าได้แลกเปลี่ยนการฝึกฝนร่วมกัน ข้าแสดงให้เขาเห็นถึงทักษะของสำนักอสูรสวรรค์ และเขาก็เปิดเผยทักษะของสำนักกระบี่ชิงหมิงต่อข้าแล้ว”
“โอ้! นับว่าฉลาดแล้ว!” จี้หลิงอวิ๋นพยักหน้า “แล้ว… ทักษะลับของสำนักกระบี่ชิงหมิงคืออะไรล่ะ?”
“บอกไม่ได้…”
หลีจิ่นเหยาตอบกลับ
“ไม่ได้?”
“อื้ม!”
“แล้ว… สำนักอสูรสวรรค์ล่ะ?”
“ไม่มี!”
“เจ้าไม่คิดช่วยเหลือสำนักเลยหรือ?”
จี้หลิงอวิ๋นชี้หน้าศิษย์สายตรงของนางด้วยร่างกายสั่นสะท้าน
“เจ้าคนทรยศ!”
“เหตุใดเจ้าจึงต้องเปิดเผยทักษะลับของเราออกไป เพราะต้องการอยากรู้ทักษะลับของพวกเขา?”
หลีจิ่นเหยาไม่สนใจถ้อยคำเหล่านั้น
“ข้าเข้าใจเจ้าผิดไปจริง ๆ!” จี้หลิงอวิ๋นกุมหน้าอกของตนเองพร้อมหอบหายใจ “บัดซบแล้ว! วันนั้นข้าไม่น่าพาเจ้ากลับสู่สำนักเลย”
“เอาล่ะ ประมุขจี้ใจเย็นลงก่อน มันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด!” เจียงหลานเกลี้ยกล่อม “จิ่นเหยากำลังจัดการกับทักษะลับเหล่านั้นอยู่ หลังจากนางศึกษาเสร็จสิ้นแล้ว จึงค่อยส่งต่อให้ท่านต่างหาก… เหตุใดจึงเชื่อถือถ้อยคำหยอกล้อของนางเล่า?”
“อะไร? มีอีกงั้นหรือ?” เมื่อจี้หลิงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น นางฟื้นคืนสติกลับมาทันที ความเจ็บปวดในใจหายไป คำพูดนั้นดับไฟแค้นจนนางหันไปยิ้มให้หลีจิ่นเหยา “หลอกข้าเสียได้”
“ฮ่าฮ่า!”
หลีจิ่นเหยาหัวเราะ
“โง่เช่นเคย ถูกหลอกอีกแล้ว”
“เจ้า…”
“เอาล่ะ พอก่อน”
ซูเซียงเสวี่ยรีบเกลี้ยกล่อม
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน หยุดโต้เถียง สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือเรื่องของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อตัวปลอม หากเราไม่สามารถค้นหาความแตกต่างได้ เราก็ต้องติดอยู่กับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อตัวปลอมนี้ไปอีกนาน”
แต่หลังจากที่หลีจิ่นเหยามองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองคนแล้ว นางก็เอ่ยปากกล่าว
“ถ้าจะหาก็ไม่ยากหรอก!”
“โอ้?”
เจียงหลานรีบกล่าวถาม
“จิ่นเหยา เจ้ามีวิธีรึ?”
“อืม ลองวิธีข้า”
หลีจิ่นเหยาเดินตรงไปอย่างมั่นใจ นางหยุดยืนตรงหน้าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองคน จากนั้นวางมือของตนไว้บนสะโพกแล้วกล่าวถาม
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าไอ้ตัวปลอมนี้คือสิ่งใด แต่ข้าต้องยอมรับเลยว่าทักษะการลอกเลียนแบบของเจ้านั้นน่าประทับใจไม่น้อย แม้แต่พี่หญิงหลานยังไม่สามารถแยกได้ แต่อย่างไร…เจ้าไม่สามารถโอ้อวดได้นานนักหรอก! ข้ามีคำถามหนึ่งซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ตอบได้ คนที่ไม่ใช่มนุษย์ไม่รู้หรอก!”
“โอ้? คำถามอะไร?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทั้งสองลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน ก่อนจะเช็ดเลือดที่มุมปากพร้อมกันด้วย ท่าทางของพวกเขาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“บอกข้าสิ แม่นางหลี!”
“อื้ม! ตั้งใจฟังให้ดีนะ!”
หลีจิ่นเหยาหยิบกระบี่คู่ที่เอวออกมา เดินแยกตัวออกไปด้านข้างเพื่อมองหาตำแหน่งที่จะใช้กระบี่ได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“คำถามคือ… แก่นแท้ของมนุษย์คือสิ่งใด?”
“ข้ารู้!”
หลังจากได้ยินคำถาม เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทางซ้ายรีบยกมือขึ้นตอบ
“ข้าเคยได้ยินคำถามนี้จากท่านอาจารย์ เขาบอกว่ามีกลไกชนิดหนึ่งอยู่ภายในโลกใต้การปกครองของแดนเซียน มันเรียกว่า… อ่า ใช่แล้ว! แก่นแท้ของมนุษย์!”
“อืม…”
หลีจิ่นเหยามองเขาด้วยสีหน้าลังเล
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่อยู่ทางขวาเดินตามหลีจิ่นเหยาพร้อมตอบคำถามด้วยคำถาม
“เอ้อ! นั่นสิ? แก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร?”
เมื่อหลี่จินเหยาได้ยินเช่นนี้ นางตัดสินใจอย่างรวดเร็วพร้อมดึงกระบี่ออกและสับฟันไปที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อคนซ้าย!
“ปริศนากระจ่างแล้ว! ตัวปลอมก็คือเจ้าสินะ!?!”
หลังจากที่ไป๋ชิวหรานและไป๋ซวี่เซียงจากไป หลีจิ่นเหยาผู้เกียจคร้านและเบื่อหน่าย ผู้ฝึกฝนตนเองนอกเหนือจากการทำงานบ้านเสมอ นางได้เข้าสู่สมาธิและฝึกฝนร่างกายจนความสามารถพุ่งทะยานถึงขั้นสูงสุด
เมื่อกระบี่ถูกชักออกมา แสงสว่างวาบปรากฏเจิดจ้า กระบี่ปลดปล่อยพลังสังสารวัฏภายในกายของหลีจิ่นเหยาออก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยกเว้นเจียงหลานไม่อาจตอบโต้ได้ทัน นางสับฟันศีรษะของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่อยู่ทางซ้ายด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียว!!