ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 502 เขตแดนหลบภัย
บทที่ 502 เขตแดนหลบภัย
บทที่ 502 เขตแดนหลบภัย
ศีรษะของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อคนซ้ายร่วงหล่นสู่พื้นดิน ใบหน้าของเขาเผยความตื่นตระหนกราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงถูกจับได้
“ยังคิดไม่ออกอีกหรือไร?” หลีจิ่นเหยาเก็บมืดของนางพร้อมกับยืดตัวขึ้นกล่าวด้วยใบหน้าอันทรงเสน่ห์ “เป็นเพราะความคิดความอ่านของตัวจริงอยู่เหนือกว่าเจ้าไงล่ะ!!”
ศีรษะของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทางซ้ายร่วงสู่พื้นและกลายเป็นแอ่งโคลนสีเงิน มันบิดตนเองอย่างต้องการหลบหนี ร่างไร้ศีรษะหลุบหายลงไปในแอ่งน้ำสีเงิน และพยายามจะเคลื่อนย้ายตนเองไปที่อื่น
“จะหนีไปไหน!”
เจียงหลานตะคอกพร้อมชี้นิ้ว
“ฮึ่ม!”
อย่างไรแล้วมันไม่อาจต่อต้านพลังระดับซากปรักหักพังหวนคืนได้ พลังเซียนของเจียงหลานถูกปลดปล่อยออกทั่วร่างกาย จนโคลนสีเงินทั้งสองแอ่งถูกตรึงไว้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้!
หลังจากที่เจียงหลานผนึกโคลนสีเงินทั้งสองแอ่งไว้ในกำแพง ทุกคนก็ต่างเข้ามาล้อมรอบสิ่งนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งหมดมองดูโลนสีเงินพุ่งไปมาในสถานที่คุมขังอย่างใคร่รู้
“มันคือสิ่งใดกัน?” จี้หลิงอวิ๋นถามอย่างสงสัย “วิญญาณอสูรรึ?”
“ไม่ใช่! มันอันตรายยิ่งกว่านั้น!” เจียงหลานกล่าวจริงจัง “ข้าอาจจะต้องไปที่แดนเซียนสักหน่อย เซียงเสวี่ย จิ่นเหยา รบกวนช่วยจัดการต่อทีเถิด”
“อืม …วางใจเถิด”
ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้า
ในเวลานี้ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเดินเข้ามาจากอีกฝั่งพร้อมปัดฝุ่นบนร่างกาย และถามหลีจิ่นเหยาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แท้จริงแล้วชายผู้นี้ก็ตอบไม่ผิดหรอก หากข้าไม่รีบตอบ ข้าก็จะตอบเช่นนั้นเหมือนกัน… และในกรณีที่ข้าตอบออกไปโดยไม่ทันคิด เจ้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“อ่า ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย…” หลังจากไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลีจิ่นเหยาจึงกล่าวว่า “อย่างไรเสียหากข้าทายถูกก็ไม่เป็นไร หรือเลวร้ายที่สุดก็คงเป็นการทายผิด และปล่อยให้ตัวปลอมสวมรอยแทนเจ้าตลอดไป ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถึงกับเผยใบหน้าซีดขาว
จี้หลิงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น แม้นางจะยังไม่คืนดีกับหลีจิ่นเหยา แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะตบบ่าของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวเสียงทุ้ม
“อื้ม! ทำได้ดีมากที่เลือกถูก!”
หลังจากพักรับประทานอาหารจานอร่อยที่ตระเตรียมโดนหลีจิ่นเหยาแล้ว เจียงหลานก็ออกเดินทางสู่แดนเซียนทันที
หลังจากมาถึงอาณาจักรแห่งซากปรักหักพังแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะข้ามผ่านห้วงความว่างเปล่าด้วยร่างกายของตน และความเร็วของเจียงหลานก็เทียบเท่ากับไป๋ชิวหราน นางรวดเร็วยิ่งกว่าเรือเหาะที่เร็วสูงสุดภายในแดนเซียนด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานนักที่จะมาถึงที่หมาย
นางไม่มีเวลาแม้แต่จะไปพบบุตรสาวเพราะเป็นห่วงสามีมากกว่า เจียงหลานรีบพุ่งตรงไปที่พระราชวังเซียนกลางทันที!
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหลานได้พบกับเล่อเจิ้นเทียนภายในห้องโถงป้อมปราการป้องกัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมาถึง สิ่งแรกที่เขากล่าวคือ
“ข้ากำลังจะให้คนไปพบท่านพอดี!”
“ข้าหรือ?” เจียงหลานสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง “เกิดสิ่งใดขึ้น? ซวี่เซียงซุกซนงั้นหรือ? ล่าสุดข้าได้ยินมาว่านางเชื่อมโยงเจ้ากับนางสนมให้ติดอยู่ในผนึกทั้งวัน…”
“แค่ก ๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้วขอรับ!” เล่อเจิ้นเทียนกระแอมไอด้วยความอับอาย ก่อนจะตอบกลับ
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพบว่ามีคนลอบเข้าสู่แดนเซียน มีความเป็นไปได้มากกว่าคือหุ่นกลของฝั่งตรงข้าม มันเริ่มจากภรรยาของเซียนรับใช้ของข้ามาที่หน้าประตูบ้าน และบอกว่าเขาไม่กลับมาพบนางในวันครบรอบแต่งงาน ต่อมาข้าจึงส่งคนออกไปค้นหาโดยรอบ และได้พบเขาโดยบังเอิญ น่าตกใจไม่น้อยที่เขาถูกยัดเข้าไปในช่องแคบภายในพระราชวังเซียน ข้าสืบเสาะจนในที่สุดได้พบว่าศัตรูใช้วิธีการแฝงตัวเข้ามาตั้งแต่ป้อมปราการจนมาถึงเมืองเซียน และร่างสุดท้ายก็คือผู้ที่เอาเรือเหาะมุ่งหน้าออกไปสู่มหาเก้าทวีปสิบแผ่นดิน ดังนั้นข้าจึงต้องการส่งคนไปแจ้งข่าวกับท่าน เพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น”
“อืม เรื่องนี้นี่เอง!” เจียงหลานหัวเราะและกล่าวต่อ “ดูเหมือนว่าพวกมันจะรวดเร็วกว่าเจ้ามาก!”
ท้ายที่สุดนางหยิบสิ่งโปร่งใสทรงกลมออกมาพร้อมกับให้เล่อเจิ้นเทียนรับชม ด้านในมีโคลนสีเงินกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านจับมันได้แล้วหรือ?” เล่อเจิ้นเทียนตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหยิบสิ่งของทรงกลมตรงหน้าพร้อมมองดูมันอย่างพิจารณา “ข้าจะให้เซียนศึกษาองค์ประกอบของโคลนนี้”
“ระวังด้วย!” เจียงหลานร้องเตือน “มันจะเลียนแบบทุกสิ่งที่มันได้สัมผัส!”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เล่อเจิ้นเทียนตอบรับ
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเซียนกลางกำลังจะหันกลับ เจียงหลานอดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อ
“แต่หากสิ่งนี้ถูกส่งมาโดยหุ่นกลฝั่งตรงข้ามจริง ๆ แล้ว…”
“เช่นนั้นท่านอาจารย์และคนอื่น อาจจะถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว!?!”
ใบหน้าของเล่อเจิ้นเทียนเคร่งขรึม
“หากเวลานั้นมาถึง ข้าจะพากองทัพภายในแดนเซียนทั้งหมดเข้าสู่สภาวะพร้อมรบขึ้นอีกระดับ!!”
…
อีกด้านหนึ่งของแดนเซียน ใกล้กับสายธารแห่งความว่างเปล่า ‘สรวงสวรรค์’ ซุกซ่อนอยู่ภายในฟองอากาศ ไป๋ชิวหรานนำถังรั่วเว่ยตรงไปยังหุ่นกลของจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่สง่างามตรงหน้า
ตอนนี้พวกเขาเห็นว่าเรือที่ตนติดตามได้บินเข้าสู่เมืองจักรกลขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของหุ่นกลระดับจักรพรรดิตนนั้น
ที่นั่นสมควรจะเป็นเมืองหลวงของฟองอากาศแห่งนี้ และผู้ปกครองสถานที่แห่งนี้ก็ควรจะอยู่ที่นั่นด้วย
“อย่างไรซะเราก็มาถึงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดสิ่งใดให้ยุ่งยาก!”
ขณะบิน ไป๋ชิวหรานก็กล่าวกับถังรั่วเวย
“ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็คือสิ่งมีชีวิตมีเนื้อหนัง คนที่นี่คงจะไม่ปฏิบัติกับพวกเราเฉกเช่นศัตรู เพียงแค่อธิบายจุดประสงค์ของการมาเยือนก็พอ กล่าวกันว่า ศัตรูของศัตรูคือมิตร โอกาสที่พวกเขาจะช่วยเหลือเรานั้นสูงนัก!”
“อื้ม!”
ถังรั่วเวยกล่าวตอบและถามว่า
“ท่านอาจารย์ แล้วเหตุใดท่านจึงเร่งรีบมาที่นี่?”
“ข้ารู้สึกถึงลางร้ายน่ะ” ไป๋ชิวหรานแตะริมฝีปากตนเอง “บางทีเราอาจถูกมหาเทพหุ่นกลค้นพบแล้ว!”
“เราจัดการทุกสิ่งอย่างราบรื่น หุ่นกลผู้พิทักษ์ที่เราพบเจอถูกกำจัดหมดสิ้น และภายในบันทึกของห้องควบคุมก็ถูกทำลายด้วยเหล่าสัตว์ร้ายที่เราล่อเข้าไป”
ถังรั่วเวยเอียงศีรษะไปมา
“หรือว่า… เกิดนิมิตขึ้นในหัวของท่าน?”
“ประมานนั้น”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ
“อย่างไรก็ตาม เราควรจะรีบค้นหาเชลยแดนแดนเซียนให้เร็วที่สุด รีบจัดการเรื่องนี้กันเถิด!”
กระบี่บินกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังเมืองหลวงซึ่งมีหุ่นกลระดับจักรพรรดิตั้งตระหง่านอยู่ ความแตกต่างคือสามารถมองเห็นเมืองรอบ ๆ ได้ชัดเจน เมื่อเข้ามาถึง ทั้งอาคาร ตึก บ้านเรือน อารยธรรมทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยแก่สายตา
ไป๋ชิวหรานพาถังรั่วเวยท่องไปตามเส้นทางที่เรือของผู้หลบหนีเดินทางไปและสุดท้ายก็มาถึงเมืองหลวง เรือจอดลงที่นั่นและในขณะเดียวกันก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาพบพวกเขา
ผู้นำคือชายหนุ่มไร้เส้นผม มีสิ่งแปลกประหลาดคล้ายกระดองอยู่บนศีรษะ และส่วนบนสุดของศีรษะมีสีแดงเล็กน้อย
เขาแต่งตัวราวกับสวมชุดเกราะผลึกแก้ว และดูเหมือนผู้ชายมาก แต่เมื่อไป๋ชิวหรานพิจารณาให้ดีแล้ว จึงได้พบว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาด
“บุรุษผู้นี้… ไร้ตัวตน?”
เมื่อไป๋ชิวหรานมองเขา ชายผู้นั้นก็มองกลับมาเช่นกัน เมื่อไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยมาถึงด้วยกระบี่บิน ทั้งสองไม่ได้เก็บซ่อนอาวุธ เช่นนี้คนทั้งกลุ่มจึงให้ความสนใจกับลำแสงกระบี่ที่กำลังพุ่งทะยานเข้าหา
“ยินดีต้อนรับแขกนิรนาม… กล่าวนัยหนึ่งคือพวกเราแตกต่างจากสหายร่วมเผ่าพันธุ์ที่กลายเป็นหุ่นกลของมหาเทพหุ่นกล” ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มให้กับไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย “ท่านเป็นคนช่วยพี่น้องของพวกเราจากหุ่นกลเหล่านั้นใช่หรือไม่? ต้องขอบคุณยิ่งแล้ว!”