ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 503 อดีตพันธมิตร
บทที่ 503 อดีตพันธมิตร
บทที่ 503 อดีตพันธมิตร
ขณะที่กล่าว ชายหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์ก็เข้ามาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา ทั้งหมดตรงเข้าหาไป๋ชิวหรานพร้อมโค้งคำนับ
“เพราะเงื่อนไขนั้นมากมายนัก โปรดยกโทษที่ข้าไม่สามารถแตะมือกับท่านได้ แต่โปรดรับความขอบคุณอย่างจริงใจที่พวกข้ามีด้วยเถิด”
“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก ข้าขอกล่าวถามตรงประเด็น”
ไป๋ชิวหรานกล่าวคำ
“พวกท่านต้องการมีส่วนร่วมจัดการกับมหาเทพหุ่นกลหรือไม่? เราจึงควรทำข้อตกลงร่วมกัน ท่านให้ข้อมูลกับข้า และข้าจะช่วยเหลือพวกท่าน”
ชายหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าไป๋ชิวหรานจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ คำพูดที่สุภาพและถ่อมตัวมากมายถูกกลืนลงกระเพาะหมดสิ้นแล้ว
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มจากเผ่าพันธุ์อื่นก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ผู้ชายรูปร่างประหลาดคล้ายกับหนูขยะอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า
“เจ้าคิดโอ้อวดงั้นหรือ? มหาเทพหุ่นกลนั้นน่าเกรงขามยิ่งกว่าสิ่งใด พวกเจ้าจะจัดการมันด้วยลำพังสองคนน่ะรึ? หากเจ้าต้องการข้อมูลที่เป็นความลับ แต่กลับมีเพียงสองคนที่เข้าร่วมกับพวกเรา นี่มันจะไม่นับว่าเอาเปรียบพวกเราหรือไร?”
“หมายความว่าหากเรามีมากกว่าจึงจะดีงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานไม่คิดกล่าวไร้สาระเพื่อโต้เถียง ดังนั้นจึงยกมือขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“อ่า… รั่วเวย แสดงให้พวกเขารับชมสักหน่อย”
ถังรั่วเวยมองไป๋ชิวหรานพร้อมกับถอนหายใจ
“เฮ้อ…”
นางยกมือขึ้นพร้อมกล่าวพึมพำ
“พระโพธิสัตว์เสริมอก”
“พวกเจ้าคิดทำบ้าอะไรกัน?”
บุรุษหน้าตาคล้ายหนูพูดพล่ามก่อนจะเดินออกไป แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำเขาตื่นตระหนกทันที
“สาวน้อยผู้นี้ คืออะไรกัน?”
เบื้องหลังของถังรั่วเวย ในความว่างเปล่าไร้ขอบเขตเหนือเมืองหลวงขนาดใหญ่ มีมือยักษ์ปรากฏขึ้นและขนาดฝ่ามือนี้ไม่อ่อนด้อยไปกว่าฝ่ามือของหุ่นกลจักรพรรดิที่ประคองเมืองหลวงนี้เอาไว้เลย
ฝ่ามือนี้เหยียดออกและยึดครองเมืองหลวงที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ยืนอยู่อย่างนุ่มนวล
“เคารพ!”
ความคิดของถังรั่วเวยทำให้พระโพธิสัตว์เสริมอกลดศีรษะลง และทุกคนที่ยืนอยู่ในเมืองหลวงก็เห็นดวงตาสีดำขลับขนาดใหญ่ซึ่งปิดบังท้องฟ้าทั้งหมดก้มลงมาจับจ้องพวกเขาอย่างใกล้ชิด
“เรามาพูดคุยเรื่องข้อตกลงกันดีหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานยักไหล่พร้อมกล่าวกับกลุ่มคนตรงหน้าที่กำลังตกตะลึง
“ข้าคิดว่าเป็นการดี…”
เมื่อชายหนุ่มจากเผ่าพันธุ์อื่นได้รับชมรูปลักษณ์ของพระโพธิสัตว์เสริมอกก็ตกใจไม่น้อย แต่ว่าไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนคนอื่น ๆ นัก
หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน เขาหันกลับมามองพร้อมกับก้มศีรษะ เผยรอยยิ้มกว้างอย่างแสดงความขอโทษ
“โปรดปล่อยมือ และให้เมืองของเรากลับสู่ที่เดิมก่อนเถิด!”
หลังจากนั้นเกิดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินอีกครั้ง ถังรั่วเวยออกคำสั่งให้พระโพธิสัตว์เสริมอกนำเมืองหลวงกลับคืนสู่ฝ่ามือของหุ่นกลจักรพรรดิ จากนั้นชายหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์คนอื่น ๆ ออกไป และเดินตรงเข้ามาพูดคุยกับไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย
“เรามาพูดคุยรายละเอียดกันเถิด โปรดตามข้ามา!”
ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยติดตามชายหนุ่มจากเผ่าพันธุ์อื่นไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้พาพวกเขาเข้าสู่ใจกลางเมือง แต่พาพวกเขาออกมานอกเมือง
ระหว่างทาง มนุษย์ที่นี่จงใจหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน พวกเขามาทั้งสองเดินไปรอบ ๆ และในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย
“จะพาพวกเราไปที่ใด?”
ถังรั่วเวยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ต้องขอโทษแล้วท่านทั้งสอง ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย…”
อีกฝ่ายหันกลับมากล่าวกับไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย
“เป็นเพราะการสนทนาของพวกเราอาจรบกวนพลเรือนภายในเมืองยักษ์แห่งนี้ ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนสถานที่สักหน่อย”
เขาเป็นคนแรกที่ก้าวออกจากเมือง ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยรู้สึกว่ามีหุ่นกลจักรพรรดิขนาดใหญ่อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
ด้วยฝ่ามือที่วางอยู่ตรงขอบชายแดนเมือง ชายต่างเผ่าพันธุ์ผู้นั้นก้าวขาเดินขึ้นไปบนฝ่ามือ จากนั้นเผยท่าทางเชิญชวนให้ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยติดตามมา
“โปรดตามข้ามา”
“เข้าใจแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเดินขึ้นสู่ฝ่ามือหุ่นกลจักรพรรดิพร้อมกล่าวว่า
“พวกท่านคือร่างมายา แท้จริงแล้ววิญญาณของท่านอยู่ในหุ่นกลจักรพรรดินี้… แล้วมหาเทพหุ่นกลจะต่อสู้ท่านได้อย่างไร?”
“ท่านเห็นมันแล้วหรือ?”
ชายต่างเผ่าพันธุ์ผู้นั้นเผยรอยยิ้มมีเลศนัย
“ข้าทำให้ข้าประหลาดใจมากจริง ๆ และตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องประหลาดใจเกิดขึ้นอีกหรือไม่”
“คงไม่”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“มาคุยกันเรื่องเงื่อนไขเถิด”
“หากเป็นเรื่องนั้นคงต้องพูดคุยกันยาว”
ชายต่างเผ่าพันธุ์ขอให้หุ่นกลจักรพรรดิยกมือขึ้นเพื่อให้ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยมองเห็นทิวทัศน์ของโลกหลบภัยแห่งนี้ ก่อนจะกล่าวว่า
“เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้วก่อนมหาเทพหุ่นกลปรากฏตัว เคยมีโลกสองสามใบภายในความว่างเปล่า มีสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการตัวเองขึ้นมา สร้างทุกสิ่งอย่างขึ้นมา และสร้างอารยธรรมเป็นของตนเอง ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“การกำเนิดและมาถึงของมหาเทพหุ่นกล สำหรับสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในปัจจุบัน พวกเขาราวกับเทพเจ้าลงมาจากสรวงสวรรค์ แต่เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เราได้พบกับมหาเทพหุ่นกลครั้งแรก มันยังไม่ได้ทรงพลังอย่างเช่นเวลานี้”
ชายต่างเผ่าพันธุ์ผู้นี้มองทอดสายตาออกไประยะไกลราวกับรำลึกถึงบางสิ่ง
“เมื่อครั้งเราพบพวกมันครั้งแรก มันเป็นเพียงเรือขนาดใหญ่ที่ควบคุมโดยหุ่นกลธรรมดา เราไม่รู้เลยว่าเรือนั้นมาจากที่ใด และเป็นอารยธรรมของโลกไหน เราพยายามเข้าไปใกล้ และติดต่อกับเรือนั้นด้วยความระมัดระวัง”
“การพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น หุ่นกลบนเรือลำนี้เหมือนจะมีความปรารถนาดีต่อสิ่งมีชีวิตแบบพวกเรา เช่นนั้นพวกเราจึงร่วมมือกันออกสำรวจความว่างเปล่าแห่งนี้ กระทั่งต่อมาเราจึงสร้างอารยธรรมและรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”
“นับว่าเวลานั้นคือยุครุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์เรา”
ชายต่างเผ่าพันธุ์ขอให้หุ่นกลจักรพรรดิยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ความรุ่งเรืองกระจายไปทั่วความว่างเปล่าราวกับไฟลามทุ่ง และนำความรุ่งเรืองมาสู่โลกวัตถุไร้อารยธรรมมหาศาล เราจึงร่วมมือกับหุ่นกลและยอมให้เขาขึ้นเป็นเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์เหล่านั้น”
“อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดี ๆ มักจะอยู่กับเราไม่นาน ในเวลาต่อมาเราได้ค้นพบปราการกีดขวางที่ถูกสร้างขึ้นภายในความว่างเปล่า มันเต็มไปด้วยอารยธรรมขั้นสูงของสมัยโบราณกาล หลังจากได้เห็นสิ่งเหล่านั้น พวกเราไม่ได้ผลีผลามจะสำรวจ แต่มหาเทพหุ่นกลก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาทันที หลังจากที่มันรับทราบ มันบอกว่าต้องการเข้าสู่อีกฝั่งของกำแพงตระหนักรู้เพื่อทำภารกิจที่ผู้สร้างมันขึ้นมาทิ้งไว้ให้สำเร็จ”
“พวกเราพยายามเกลี้ยกล่อมแต่ไร้ผล หุ่นกลใช้พละกำลังของมันเจาะรอยแตกบนกำแพงแห่งความตระหนักรู้ แต่หลังจากนั้นก็มีสัตว์ประหลาดบางตัววิ่งออกมาจากรูนั้น…”
ไป๋ชิวหรานโบกมือและกล่าวว่า
“สิ่งนั้นถูกเรียกว่าอสูรจากเขตแดนจิตสำนึก และมันถูกพรรคพวกของเราทำลาย ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก”