ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 509 เซียนผู้โง่เขลา
บทที่ 509 เซียนผู้โง่เขลา
บทที่ 509 เซียนผู้โง่เขลา
ปราณดาบหลั่งไหลทะลักกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยว กวาดล้างกลุ่มกองกำลังที่เหลือครึ่งหนึ่งจนหมดสิ้น และยังมีกำลังเหลือเฟือที่จะทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกบนพื้นดินที่หุ่นกลปัญญาประดิษฐ์สร้างเอาไว้
ภายใต้การควบคุมของไป๋ชิวหราน ปราณกระบี่ไม่ได้ทำลายศูนย์ควบคุมจิตใจมหาเทพหุ่นกลของเผ่าพันธุ์ต่างโลกวัตถุที่กักขังเชลยแห่งแดนเซียนและสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอื่น ๆ อีกมากมาย แต่อาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ล้วนแต่โชคร้าย ทั้งหมดพังทลายลงจมอยู่ใต้บาดาลแห่งปราณกระบี่ จากนั้นก็ถูกสับฟันกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง
อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไป๋ชิวหรานโกรธมาก หลังจากเคลื่อนไหวแล้วหนึ่งครึ่งดูท่าจะยังไม่พอใจนัก เมื่อเห็นว่ายังมีกองกำลังทหารหุ่นกลเหลืออยู่อีกน้อยนิด เขาจึงกระชับกระบี่และเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งทันที
ความกว้างใหญ่ของปราณกระบี่นั้นเทียบเท่ากับยอดเรือนเซียน!
คลื่นหมอกมหาศาลปกคลุมท้องฟ้า ภายในม่านหมอกมีวิหคสีขาวสยายปีกโบยบิน
“หยุดก่อน บรรพชนกระบี่!”
มหาเทพหุ่นกลที่ยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพังตะโกนออกมา
“เรายังสามารถพูดคุยกันได้”
“เจ้าบอกเองว่าผู้แพ้ไร้ซึ่งสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์พูด!”
ไป๋ชิวหรานไม่คิดสนใจเสียงนั้น และยังเดินหน้าต่อไป
“เจ้าคิดจะควบรวมพันธมิตรอะไรกัน! ตอนนี้ข้าจะให้คำตอบเจ้า! ในนามของจักรพรรดิเซียน… มีเพียงเด็กน้อยเท่านั้นที่จะเห็นด้วยกับข้อเสนอไร้สาระนั่น ไม่ว่าจะเป็นมหาเทพหุ่นกล หรือศาสตร์อักขระยันต์ใด ข้าจะควบคุมทุกสิ่งเอง!”
หลังกล่าวเช่นนั้น เขาก็ฟาดฟันกระบี่ออกไป ปราณกระบี่แปลงกายเป็นวิหคยักษ์สยายปีกใหญ่ปกคลุมท้องฟ้า กวาดล้างหุ่นกลและเศษซากทั้งหมดให้หายไปในพริบตา!
…
มีคนถอดหมวกเหล็กควบคุมออก
ยามโพล้เพล้ คลื่นพลังที่สร้างความสับสนในความคิดค่อย ๆ สงบลง ก่อนที่แสงสว่างจะปรากฏขึ้นในแววตา และในขณะเดียวกันก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น มันเจือความขยะแขยงเล็กน้อย
“ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็รีบเช็ดน้ำลายของเจ้าเสีย! ด้วยสภาพเช่นนี้จะสามารถเรียกตนเองว่าเซียนได้อย่างไร?”
เพราะเป็นเซียน เขาจึงสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อลืมตาขึ้น ชายผมสีขาวใบหน้าหล่อเหลาก็ยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า พร้อมสายตาที่มีความขยะแขยงซุกซ่อนไว้
ในเวลานี้ หญิงสาวพราวเสน่ห์เดินออกมา และเหล่าเซียนทั้งหมดรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เพราะพวกเขาสัมผัสได้ทันทีว่าขั้นการฝึกฝนของหญิงสาวผู้นี้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นมหายาน
พลังการต่อสู้ของนางอาจเทียบเท่ากับเซียนทั่วไป แต่นางยังไม่ได้ขึ้นสู่สวรรค์ และยังขาดกลิ่นอายวิญญาณเซียน อีกทั้งร่างกายยังอ่อนแอกว่าระดับเซียนเล็กน้อย
แน่นอนว่าเหล่าเซียนที่คิดเช่นนี้ไม่รู้ว่ากระดูกที่งอกออกของถังรั่วเวยเป็นสิ่งชั่วร้ายมากเพียงใด เป็นเพราะนางฝึกฝนวิชาหลอมร่างกายและขั้นรากฐานเสมือน ทั้งยังมีการฝึกฝนอื่น ๆ อีก
“ดูเหมือนว่าจะยังคิดเรื่องไร้สาระได้อยู่ สงสัยจะไม่เป็นไรแล้ว…” ชายผมขาวจ้องมองเซียนตรงหน้าพร้อมดุอีกฝ่าย “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า เจ้าเป็นถึงเซียน! จะรอให้ข้าช่วยเหลือหรือไร?”
“ท่านอาจารย์ เขาเพิ่งตื่นขึ้นจากภวังค์ ทราบแล้วว่าท่านอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ท่านช่วยเงียบก่อนได้หรือไม่?”
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น สาวงามก็อดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อม
“มีคำกล่าวว่าบุรุษหน้าตาดีมักปากเสีย…”
“ปากของข้าดีเสมอ!” ชายผมขาวกล่าวคำ “ข้าแข็งแกร่ง มีเหตุผล โหดเหี้ยม และเก่งกาจที่สุด หากเจ้าไม่เชื่อ… ก็ลุกมาทุบตีข้าเสีย!”
สาวงามร่างกายบอบบางไม่รู้จะกล่าวคำใดตอบไป นางพูดไม่ออกอยู่สักครู่หนึ่ง
“ข้าละอายใจเสียจริง ที่ต้องปลดปล่อยเครื่องจองจำให้กับผู้เป็นเซียน!”
ชายผมขาวกล่าวบ่นกระปอดกระแปด เขาคิดทบทวนบางสิ่งและดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องเลวร้ายได้ จึงส่ายศีรษะเบา ๆ อีกครั้ง
“อ่า ลืมมันไปเสีย น้องชายเอ๋ย… นี่คือบทเรียนสำคัญ คงจะดีกว่าหากเจ้าจดจำและนำไปปรับปรุงตัวใหม่เสีย”
ขณะกล่าวคำ เขาเดินไปด้านข้างพร้อมยกมือขึ้น ก่อนจะปล่อยให้พลังปราณแก่นแท้ทำลายพันธนาการของสหายร่วมทีมที่ติดอยู่กับเซียนผู้นั้น ก่อนจะสังเกตได้ว่าพลังปราณแก่นแท้ของบุรุษผมสีขาวตรงหน้าช่างแปลกประปลาด ใจกลางของมันยังเป็นพลังปราณแก่นแท้อย่างเห็นได้ชัด แต่มันเบาบางเสียจนรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกทั้งยังมีตรงกลางของรากฐานที่รอการทะลวงผ่าน อย่างไรก็ตาม… พลังปราณแก่นแท้ในร่างกายของเขานั้นผ่านการบ่มเพาะมาอย่างดี มันบริสุทธิ์และละเอียดยิ่งกว่าสิ่งใน มันไม่เหมือนกับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นก่อสร้างรากฐานทั่วไปสักนิดเดียว
“อะไร?”
เมื่อไป๋ชิวหรานจัดการกับเหล่าเซียนที่ถูกจับกุมเป็นเชลยแล้ว เขาสังเกตเห็นว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องเขาอยู่ จึงเหลือบมองเล็กน้อย
“เจ้าคิดสงสัยเรื่องพลังปราณแก่นแท้ของข้าหรือ?”
เมื่อสังเกตเห็นจิตสังหารรุนแรงจากแววตาของชายผมขาวผู้นี้ เซียนผู้นั้นเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาชีวิตรอด เขาส่ายศีรษะด้วยความสิ้นหวังก่อนจะกล่าวคำ
“ไม่กล้าแล้ว! ข้าเพียงอยากถามบางอย่าง… เพราะข้ายังไม่ทราบนามของท่านเลย”
“นามของข้าคือ ไป๋ชิวหราน จะเรียกว่าอะไรก็ได้”
ไป๋ชิวหรานหยิบเครื่องพันธนาการที่ดูเหมือนจะขโมยความทรงจำของผู้สวมใส่ได้ออกจากศีรษะของสหาย พร้อมถามต่อ
“พวกเจ้าตื่นกันหรือยัง? หากตื่นแล้ว รั่วเวย ไปบอกให้พวกเขามาร่วมตัวกัน เก็บของ และพวกเราจะไปที่สรวงสวรรค์ในมือหุ่นกลจักรพรรดิกันก่อน”
เหล่าเซียนทั้งหมดรีบปีนขึ้นไปรวมกับคนอื่น ๆ ภายใต้คำสั่งของหญิงสาว
“ไป๋ชิวหราน ไป๋ชิวหราน… เหตุใดชื่อนี้จึงคุ้นหูนัก…”
เขามาถึงห้องโถงของทัณทสถานควบคุมจิตใจมหาเทพหุ่นกลแล้ว มีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ นอกจากเซียนอีกมาก ภายในศูนย์แห่งนี้กักขังสมาชิกของเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาไว้มากมาย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นภัยคุกคามต่อมหาเทพหุ่นกล ที่นี่ จิตใจของผู้ถูกจองจำย่อมเป็นไปตามความต้องการของมหาเทพหุ่นกลด้วยเช่นกัน
ตรวนขโมยความทรงจำและความคิดนั้นช่างไร้มนุษยธรรมโดยสมบูรณ์ มันทำให้ความคิดออกจากร่างกายของพวกเขา ดังนั้น การทำงานพื้นฐานของร่างกายจึงบกพร่องไปด้วย! เช่น น้ำลายไหล ใบหน้ามืดครึ้ม อัมพาต หรือแม้แต่ไม่อาจกลั้นปัสสาวะได้
ดังนั้นแม้ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยจะใช้คาถาเพื่อช่วยบางเผ่าพันธุ์จัดการกับเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่กลิ่นในห้องโถงนี้ก็ยังประหลาด และเหล่าเซียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนโชคดี โชคดีนักที่พวกเขาเป็นเซียน และพวกเขาได้กำจัดวัฏจักรของทวารทั้งห้าแล้ว มิฉะนั้นฉากทั้งหมดคงชวนติดตาผู้พบเห็นยิ่งนัก
ขนาดเป็นชายก็หนักแล้ว ไม่ต้องนึกถึงสภาพเซียนสตรีเลย
ทว่าน่าแปลก เมื่อได้ยินประหลาดเล็ดลอดออกจากห้องโถง ความคิดของเหล่าเซียนกลับมีชีวิตชีวา และจดจำได้ว่าเคยเห็นชื่อไป๋ชิวหรานจากตำราหนึ่งของหน่วยข่าวกรองแห่งแดนเซียน
“ไป๋ชิวหราน ข้าจดจำได้แล้ว…”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอุทานด้วยความแตกตื่น
“บัดซบ บรรพชนกระบี่?!”
…
“เอาล่ะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปฐานที่มั่นของผู้หลบหนีในห้วงแห่งความว่างเปล่า คนเหล่านั้นเป็นกองกำลังต่อต้านมหาเทพหุ่นกล พวกเขาจะเป็นพันธมิตรของเรา และยังให้เราหลบภัยในสถานที่แห่งนั้นได้ชั่วคร่าว ซึ่งหากอยู่ที่นั่นจะปลอดภัย…”
ไป๋ชิวหรานใช้ทักษะการขับวัตถุเคลื่อนย้ายที่เขาเรียนรู้เมื่อครั้งเป็นหุ่นกลเพื่อขับเรือเหาะพากลุ่มนักโทษคนอื่น ๆ จากทัณฑสถานควบคุมจิตใจหลบหนีไป และในขณะเดียวกันก็ยังพูดคุยกับเหล่าเซียนบนนั้นด้วย
“เราจะไปปักหลักกันที่นั่นก่อน เวลานี้มหาเทพหุ่นกลรู้เรื่องข้าแล้ว เจิ้นเทียนก็อาจจะจับกุมสายลับที่ถูกส่งมาจากมหาเทพหุ่นกลได้เหมือนกัน เวลานี้มีความเป็นไปได้สูงที่แดนเซียนและราชสำนักมหาเทพหุ่นกลกำลังเข้าสู่สภาวะพร้อมรบเต็มอัตราศึก สถานการณ์ในแนวหน้าจึงค่อนข้างตึงเครียด เราจะไม่ถอยเด็ดขาด! หลังจากที่ได้พูดคุยกับมหาเทพหุ่นกลในวันนี้แล้ว จู่ ๆ ข้าก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้ และข้าคิดว่าเราจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้เมื่อกลับไปถึง”
“ขอรับ” เซียนผู้หนึ่งที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเขาก้มศีรษะด้วยความเคารพก่อนจะกล่าวตอบ “ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“…”
ไป๋ชิวหรานนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองถังรั่วเวยที่อยู่ด้านข้าง
“เหมือนเจ้าจะบอกว่าตรวนพวกนั้นทำลายสติปัญญาของเขาไปแล้ว?”
“ดูเหมือน ก็ยังมีอยู่นี่”
ถังรั่วเวยไม่คิดสนใจ
“ทุกคนย่อมทราบอยู่แล้วว่าท่านคือบรรพชนกระบี่”
“ไม่ มีบางอย่างผิดปกติ”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวกับเซียนผู้นั้น
“เจ้ามันโง่เขลา! โง่เง่า! ไร้สติปัญญา!”
“ถูกต้องแล้ว… ท่านบรรพชนกระบี่กล่าวถูกแล้ว”
เซียนผู้นั้นยังคงตอบกลับด้วยความเคารพ
ดูสิ!”
ไป๋ชิวหรานชี้นิ้วไปที่เขาก่อนจะกล่าวว่า
“สติปัญญาของเขากลายเป็นขยะไปแล้วจริง ๆ! อาชญากรรมนี้รุนแรงนัก เป็นเพราะมหาเทพหุ่นกล เซียนผู้เลิศล้ำจึงต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้!”