ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 520 หนึ่งสะบั้นห้วงสมุทร ส่องสะท้อนสุญตา
บทที่ 520 หนึ่งสะบั้นห้วงสมุทร ส่องสะท้อนสุญตา
บทที่ 520 หนึ่งสะบั้นห้วงสมุทร ส่องสะท้อนสุญตา
“นี่คือ?”
ถังรั่วเวยตื่นตระหนกเมื่อเห็นลูกแก้วลำแสงลอยอยู่ข้างกายอาจารย์อสูรของตน
“กับดัก!”
ไป๋ชิวหรานตบศีรษะของนางอีกครั้งขณะที่เกิดช่วงวิกฤติ! เขาใช้สัมผัสเทวะของตนเองสายธารแห่งจิตสำนึกของหญิงสาวโดยตรง พร้อมกับสื่อสารกับนางเพื่อบอกกล่าวให้ถ่วงเวลาเอาไว้
“เจ้ามัวสับสนอะไรอีก? ยังไม่รีบหลบอีก… ฟังข้า ตรงไปด้านซ้ายระยะทางสามสิบลี้เพื่อหลบ แล้วค่อยปล่อยหมัดออกทางซ้าย”
ถังรั่วเวยควบคุมร่างอาจารย์อสูรของตนเองโดยทำตามคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่กลุ่มลำแสงสว่างวาบขึ้น ร่างพระโพธิสัตว์เสริมอกก็พลันหายไปในทันที และปรากฏขึ้นในสถานที่ห่างไกลทางซ้าย ซึ่งระยะห่างจากจุดเดิมสามสิบลี้ ทั้งหมดนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการระเบิดของกับดักอวกาศ ก่อนที่นางจะปล่อยหมัดซ้ายออกไปในทันที!
ทันทีที่กำปั้นของนางถูกปลดปล่อยออกไป ลำแสงระเบิดใหม่ก็ปรากฏขึ้น แต่มันก็ถูกปะทะจากหมัดของนางและกระเด็นออกไป!
ลูกแก้วแสงนี้กระเด็นเข้าหาหุ่นกลจำนวนมากที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งหมดกระตุ้นปฏิกริยาลูกโซ่อย่างยอดเยี่ยมภายใต้การคำนวนที่เฉียบคม หุ่นกลเกือบทั้งหมดที่อยู่รอบตัวถังรั่วเวยระเบิดออกอย่างงดงาม!
ตูม!
หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ พระโพธิสัตว์เสริมอกผ่านกลุ่มม่านหมอกโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ยังติดอยู่ในห่าฝนกระสุนยุทธภัณฑ์
“บิดตรงไปยี่สิบลี้ และใช้เทคนิคฝ่ามือที่ข้าเคยสอนเพื่อโจมตีบนฟ้า”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ร่างอาจารย์อสูรก็พุ่งทะยานออกทันที นางก้มศีรษะลงพร้อมกับพุ่งตัวออกไปยี่สิบลี้ ก่อนจะออกจากวงล้อมหุ่นกลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามา จากนั้นเงยศีรษะขึ้นเงื้อมมือฟาดลงเหนือศีรษะโดยตรง
พลังฝ่ามือทองคำพุ่งทะยานออก และพลังของฝ่ามือปัจจุบันของพระโพธิสัตว์เสริมอกนั้นแตกต่างจากครั้งที่ถังรั่วเวยเคยใช้ฝ่ามือนี้เมื่อยังอ่อนแอในคราวแรกเริ่ม
พลังฝ่ามือสีทองเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ กวาดผ่านท้องฟ้าและอากาศเหนือศีรษะ คลื่นระเบิดขนาดใหญ่กระแทกออกไป ก่อนที่ร่างอาจารย์อสูรจะพุ่งทะยานติดตามด้วยพละกำลังสูงสุด
“อ้อมไปด้านหลังแล้วใช้ทั้งสองฝ่ามือฟาด!”
พระโพธิสัตว์เสริมอกหดฝ่ามือทั้งสองข้างกลับมา ก่อนจะโคจรปราณในกายแล้วปลดปล่อยพลังออกไปพร้อมกันทั้งสองฝ่ามือ
คลื่นพลังสีทองขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมา และในเวลาเดียวกันกับดักอวกาศที่ถูกวางไว้ในที่มิดชิดก็ปรากฏออกมาจากระลอกคลื่นกลางอากาศ แต่การระเบิดทั้งหมดถูกปิดกั้นด้วยพลังจากฝ่ามือ จนกลับกลายเป็นขยะไร้ซึ่งพลัง
ผลกระทบจากการระเบิดทำให้พื้นที่ในอากาศถูกฉีกขาด สิ่งของโดยรอบแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน พายุกรรโชกก่อตัวขึ้นกลางอากาศ คราวนี้หากไม่มีคำเตือนของไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยคงปล่อยให้อาจารย์อสูรของนางใช้พลังในกายจนหมดสิ้นเพื่อปกป้องร่างกายอันใหญ่โตของตนเอง
พระโพธิสัตว์เสริมอกถูกพายุกรรโชกผลักไปด้านหน้า และจากนั้นไม่นาน พายุนั้นก็สลายไป นางจึงรีบออกจากพื้นที่ในแนวยิงของหุ่นกล ได้สำเร็จ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเงยหน้าขึ้นกลับได้พบกับหุ่นกลอารักขา พวกมันรวมตัวกันกลายเป็นหุ่นกลจี่เกอตัวใหม่ที่แตกต่างจากผู้นำหุ่นกลอารักขาแบบเดิม…
อีกทั้งหุ่นกลในกองกำลังเทพสวรรค์ซึ่งแต่เดิมอาศัยอยู่ในฐานทัพใกล้ ๆ ภายในโถงประชุมหุ่นกล พวกมันค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นทีละตัว หุ่นกลเทพสวรรค์เหล่านี้สวมเสื้อคลุมและยังมีไม้เท้ายาวในมือ ขณะที่พวกมันกำลังเดิน ชิ้นส่วนมากมายปรากฏออกจากใต้เสื้อคลุม เกิดเสียงหึ่ง ๆ ก่อนที่ชิ้นส่วนต่าง ๆ จะบินออกมาและประกอบกันเป็นหุ่นกลขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนตรงหน้าพวกเขา
ราวกับว่าพวกมันไม่พึงพอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง หุ่นกลยกไม้เท้าขึ้นก่อนที่พลังแห่งยันต์จะปรากฏจากส่วนยอดของไม้เท้า อักขระโบราณพุ่งเข้าหาหุ่นกลพร้อมกับโคจรล้อมรอบ ชิ้นส่วนบนร่างกายเหล่านั้นถูกดึงแยกออกอีกครั้งและถูกประกอบใหม่ ภาพตรงหน้าไม่ต่างอะไรจากฝูงผึ้งหลวง ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็เกิดเป็นหุ่นกลจี่เกอขนาดใหญ่ถือไม้เท้าหนัก มันร่อนลงหยุดยืนข้างหุ่นกลผู้นำกองทัพอารักขา
“อ่า หุ่นกลจะเป็นหุ่นกลได้อย่างไรหากไม่สามารถประกอบร่างใหม่ได้?”
ถังรั่วเวยไม่สนใจพร้อมกล่าวเสียงต่ำ
“พวกมันมีสามตัว คงมีปัญหาแล้ว…”
ร่างอาจารย์อสูรกำหมัดแน่น และกำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ ๆ ไป๋ชิวหรานปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง พร้อมเอื้อมมือจับไหล่ของพระโพธิสัตว์เสริมอก
“ดูอาจารย์เป็นตัวอย่าง”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเสียงต่ำ
“รับชมการต่อสู้ที่รวดเร็วนี้ซะ”
“โอ้!”
อาจารย์อสูรหยุดเคลื่อนไหวพร้อมถอยออกไปเล็กน้อย ขณะที่ไป๋ชิวหรานสะบัดมือพร้อมบิดข้อเท้าเล็กน้อย จากนั้นจึงพุ่งทะยานเข้าหาหุ่นกลจี่เกอทั้งสามอย่างรวดเร็ว!!
เขาทะยานเข้าสู่ความว่างเปล่า การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วและบางเบาราวกับกำลังวิ่งขึ้นบันไดที่มองไม่เห็น แต่ระยะห่างระหว่างเขาและหุ่นกลจี่เกอนั้นลดลงในพริบตา
ทั้งสองฝ่ายไม่กล่าวสิ่งใด ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานอยู่ในระยะโจมตีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว หุ่นกลจี่เกอทั้งสามพุ่งเข้าหาเข้าอย่างดุเดือดโดยไม่คิดเจรจาใดเช่นกัน
หุ่นกลขนาดใหญ่ที่เกิดจากการประกอบของหุ่นกลป้องกัน ด้านบนสุดของแขนซ้ายและขวาของพวกมันเปิดออก ใบมีดคมปลาบนับไม่ถ้วนปรากฏสู่สายตา ทั้งหมดกลายเป็นอาวุธสังหารที่เหี้ยมโหดพุ่งทะยานไปด้านหน้า เป้าหมายของมันคือศีรษะของไป๋ชิวหราน ซึ่งความเร็วของการโจมตีนี้สามารถทำลายดวงดาวหลายดวงพร้อมกันได้โดยตรง แม้แต่การระเบิดจักรวาลก็ยังสามารถทำได้!
กระสุนยุทธภัณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากแขนขวา ทั้งกระสุนยุทธภัณฑ์และกับดักถูกยิงออกมาโดยมีเป้าหมายคือศีรษะของไป๋ชิวหรานด้วยเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของหุ่นกลเทพสวรรค์นั้นง่ายดาย มันเพียงแค่ยกไม้เท้าในมือแล้วทุบลง พลังแห่งยันต์อันซับซ้อนก็ปรากฏ อักขระเหล่านั้นบิดเบือนธาตุทั้งห้าในบริเวณจนแปรปรวร เสียงท้องฟ้าคำรามเขย่าโลกทั้งใบ สะเทือนไปทั้งจักรวาล!
ผู้นำกองอารักขาที่มีแขนขาและดวงตานับพัน ดึงใบมีดออกจากร่างกาย พร้อมกับยกแขนปลดปล่อยลำแสงพิสุทธิ์ออกมา ภายในลำแสงนั้นมีวิถีดาบละเอียดอ่อนแพร่กระจายไปทั่ว!
เวลานี้ไป๋ชิวหรานกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังหุ่นกลรบที่โหดเหี้ยมที่สุด ทั้งหมดคือผู้เชี่ยวชาญในทักษะของตนเอง แต่อย่างไรแล้วพวกมันไม่อาจเทียบเท่ากับเซียนของกองกำลังเซียน และยังไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกตนของโลกฝึกตนด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วพวกมันมีเพียงพลังรุนแรงที่สามารถบดขยี้จักรวาลทั้งหมดได้เท่านั้น!
ตอนนี้ไป๋ชิวหรานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เผชิญหน้ากับหุ่นกลที่มีทักษะดาบเหนือจินตนาการ
แต่สำหรับไป๋ชิวหรานแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ร่างกายของเขายังคงพลิ้วไหวและรวดเร็ว ร่างเพรียวกระโดดไปมาเพื่อหลบปราณดาบไม่ว่าการโจมตีของหุ่นกลจะเป็นรูปแบบใดก็ไม่อาจสร้างอันตรายให้กับเขาได้ เพราะข้อบกพร่องของมันทั้งหมดถูกเขามองเห็นแล้ว
ความจริงแล้วหากไป๋ชิวหรานเพียงแค่นึกคิด เขาสามารถพุ่งทะยานเข้าไปทุบตีพวกมันให้แหลกสลายในพริบตา แต่ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานใช้สนามรบหุ่นกลเพื่อสั่งสอนให้ถังรั่วเวยเข้าใจถึงทักษะที่ยากหยั่งถึงของเขา
สำหรับหุ่นกลจี่เกอเหล่านี้ ผู้ฝึกตนในขั้นก่อสร้างรากฐานเสมือนก็สามารถบดขยี้พวกมันได้ง่ายดาย เขาเหนือกว่าทั้งความแข็งแกร่งและทักษะ
หลังจากข้ามผ่านชั้นการโจมตีแล้ว ชายผมขาวทะยานขึ้นสู่อากาศก่อนจะหมุนตัวแล้วดึงกระบี่ยาวออกจากฝัก..
กระบี่เจิดจ้า หนึ่งสะบั้นห้วงสมุทร… สองสะท้อนสุญญตา!