ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 535 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 535 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 535 คลื่นใต้น้ำ
หลังจากฟังคำวิเคราะห์ของหลีจิ่นเหยาแล้ว จี้หลิงอวิ๋นก็รู้สึกเห็นด้วยกับนางอยู่บ้าง ท้ายที่สุดแล้ว หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหยื่อที่ถูก ‘ลวงอาจารย์ สังหารบรรพชน’ จี้หลิงอวิ๋นน่าจะผู้ที่สมควรถูกพูดถึงมากที่สุดในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
“แต่หากเป็นมารดากับบุตร น่าจะไม่เป็นไร…”
จี้หลิงอวิ๋นกำลังให้คำปรึกษากับศิษย์ของตน แต่นางก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ท้ายที่สุดแล้ว โลหิตของแม่และบุตรย่อมข้นกว่าน้ำ ไม่ว่านิสัยของเจ้าจะดื้อรั้นเพียงใด เจ้าก็คงไม่คิดสนใจเรื่องเช่นนี้กระมัง”
“กล่าวถึงความจริงก่อนเถิด”
หลีจิ่นเหยาถอนหายใจก่อนจะถามจี้หลิงอวิ๋นอย่างสัตย์ซื่อ
“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าขอถามท่านสักหน่อย ตอนนี้ท่านมีความสุขหรือไม่ที่ข้าปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้?”
“แน่นอนว่าไม่!”
จี้หลิงอวิ๋นตอบทันที
“อาจารย์คนใดในโลกที่ต้องการให้ศิษย์ปฏิบัติต่อตนเช่นนี้? ยกเว้นพวกที่ชอบความบ้าคลั่ง และไม่มีผู้ใดสนใจอีกแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงการกระทำแบบพวกคลั่งความรุนแรง นางเหลือบมองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่ติดอยู่ในกำแพง
“ก็เท่านั้น”
หลีจิ่นเหยาแบมือ
“ท่านคงจะไม่ค่อยชอบนัก อีกทั้งหากข้ามีบุตรแล้วจะยอมให้เขาไม่เชื่อฟังข้าได้งั้นหรือ? ข้าหาสิ่งอื่นที่มันดีกว่านี้ไม่ดีหรือไร?”
จี้หลิงอวิ๋นเห็นด้วยในใจ แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
“ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กตัวเหม็น! เจ้ารู้ว่าข้าไม่พอใจ แต่เจ้าก็ยังปฏิบัติตนเช่นนี้!”
นางกล่าวด้วยความโกรธ
“ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ!”
หลีจิ่นเหยาละสายตา
“ที่สำคัญคือ… ข้ามีความสุขมากก็พอแล้ว!”
“เจ้าเด็กอกตัญญู!”
จี้หลิงอวิ๋นโกรธจัดจนบีบมือของหลีจิ่นเหยาอย่างไม่รู้ตัว ฐานการฝึกฝนของนางตามหลังศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์อยู่มาก อีกทั้งพรสวรรค์ของหลีจิ่นเหยาไม่น้อยไปกว่าจักรพรรดิเซียนองค์แรก หากไม่นับบรรพชนกระบี่ ก็ไม่มีผู้ใดในโลกแห่งเซียนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้นางได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังคิดหักกระดูกข้อมือตน นางเม้มปากอย่างเหยียดหยามพร้อมกับพลิกข้อมือของอีกฝ่าย! แล้วโยนผ่านไหล่ออกไป
ร่างของหลีจิ่นเหยากระเด็นลอยไปกระแทกกับผนังบ้านอย่างรุนแรง! ศีรษะของนางม้วนลงด้านล่าง ก่อนที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะถูกฝังอยู่ข้างเคียง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชิวอวี่เซวียนผู้นำสำนักเสวียนฝ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็รีบหยิบศิลาบันทึกภาพออกมาพร้อมกับบันทึกภาพทั้งสองที่ถูกฝังติดผนังของบ้าน ด้วยการกดเพียงหนึ่งครั้ง
“นับว่าเป็นภาพที่งดงาม”
ขณะเก็บศิลาบันทึกภาพอย่างเงียบ ๆ เขาก็พึมพำเบา ๆ
แน่นอนว่าการกระทำของเขาถูกสังเกตเห็นโดยพวกหัวรุนแรงของโลกการฝึกฝนเช่นกัน กงป้านเจวี๋ยผู้นำหอหยก เขาเคลื่อนเก้าอี้เข้าหาชิวอวี่เซวียนแล้วกระซิบ
“ท่านผู้นำชิว หากท่านต้องการเงิน เรามาร่วมมือกันดีไหม”
“โอ้… กงป้านเจวี๋ย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่ต้องการรวบรวมประวัติศาสตร์ที่ดำมืดเท่านั้น”
ชิวอวี่เซวียนลังเล
“สหายเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและสหายจี้หลิงอวิ๋น เวลานี้เป็นผู้นำและรองหัวหน้าของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกตน ดังนั้นจึงไม่ดีนักหากจะไปยั่วยุพวกเขา”
“จะเกิดอะไรนัก เราก็แค่ทำพูดคุยเล็กน้อย”
กงป้านเจวี๋ยพยายามโน้มน้าว
“หากมองภายนอกแล้ว พวกเราก็ยังคงเป็นสหายร่วมรบที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิด เราไม่ควรแพร่งพรายมันออกไป”
“ด้วยบุคลิกของสหายเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและจี้หลิงอวิ๋น… ข้าเกรงว่าพวกเขาจะมอบรอยเท้าให้กับพวกเราสำนักเสวียนฝ่าในอนาคต”
ชิวอวี่เซวียนยังลังเล
เมื่อเห็นใบหน้าลังเลของอีกฝ่าย กงป้านเจวี๋ยจึงคิดใช้ไพ่ตายสุดท้าย
“ก่อนหน้านี้ ศิษย์ของหอหยกเซียนตูได้รับชุดอุปกรณ์ทดลองที่ยังไม่ได้วางขาย มันถูกขัดเกลาโดยตี้เซียนในมหาสมุทรช่วงต้นปี…”
“หยุดกล่าวมากความ เจ้าต้องการศิลาภาพเหล่านี้กี่ชิ้น?”
ชิวอวี่เซวียนเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกล่าวจริงจัง
“ไม่มาก ข้าขอเพียงตัวเดียว”
กงป้านเจวี๋ยหัวเราะ
ผู้นำสำนักทั้งสองเปรียบเสมือหัวขโมย เขาแลกเปลี่ยนกันอย่างลับ ๆ ในเวลานี้ชิวอวี่เซวียนยัดศิลาบันทึกภาพไว้ในมือกงป้านเจวี๋ยเงียบ ๆ และกงป้านเจวี๋ยหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบก่อนจะเผยรอยยิ้มให้กัน
การกระทำของพวกเขายังมีคนจากไม่กี่คนในโลกแห่งการฝึกฝนมองเห็น อวี้เมี่ยนฝูแห่งสำนักพุทธเทียนเซิงกล่าวเสียงต่ำ
“อมิตาพุทธ บาปหนอ…”
ผู้นำกองทัพเทพยุทธ์กล่าวกับอาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิง
“โอ้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีหรือไร เราจะปล่อยให้สองคนนั้นทำเช่นนั้นไม่ได้ เวลานี้พวกเราเห็นมันชัดเจน!”
“ท่าน… ท่านผู้บัญชาการ”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวเกลี้ยกล่อมเสียงต่ำ
“มันไม่ดีนักที่จะทำเช่นนี้ เพราะอย่างไรท่านก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงในโลกการฝึกฝน มันน่าละอายใจเกินไป”
“น่าละอายใจตรงไหน?”
ผู้บัญชาการกล่าวเสียงดัง
“พวกเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี และจี้หลิงอวิ๋นเป็นผู้นำของสำนักอสูรสวรรค์ พวกเขาคือปีศาจและเราต้องกำจัดปีศาจ!”
เขากล่าวคำอย่างชอบธรรมโดยไม่สนใจว่าเวลานี้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกันก็กำลังห้อยอยู่บนผนังด้วย
“รบกวนลดเสียงลง!”
อาวุโสคนที่สองของสำนักกระบี่ชิงหมิงยืนขึ้นก่อนจะชี้ใบหน้าของพวกเขาด้วยความโกรธ
“บัดซบ พวกเจ้ากำลังคิดรีดไถเงินจากสำนักของเรา!”
“โอ้ ท่านอาวุโสรองเข้าใจผิดแล้ว”
ผู้บัญชาการส่ายศีรษะพร้อมกล่าวตอบ
“พวกเรา… สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ทรัพย์สินของสำนัก แต่เป็นคลังสมบัติส่วนตัวของจี้หลิงอวิ๋นผู้นำสำนักอสูรสวรรค์ และเจวี๋ยอวิ๋นจื่อมีความสัมพันธ์กับนาง เขาจะสามารถลงมือได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะทำสิ่งใดได้”
“ผู้บัญชาการกล่าวถูกต้องแล้ว!”
ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักกระบี่ชิงหมิงกระซิบกระซาบกันก่อนจะยืนขึ้นทีละคน
“เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องต่อสู้กับสำนักปีศาจ ไปกันได้แล้ว!”
“ท่านอาวุโส”
จั่วเหยียนเฟยเกลี้ยกล่อม
“ผู้นำสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อคืออาจารย์ของท่าน”
“แล้วประมุขล่ะ ตอนนั้นเราไม่ได้เลือกเขา!”
อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิงหัวเราะ
“ข้ารำคาญขี้หน้าของไอ้สารเลวนี่มาเนิ่นนานแล้ว!”
อาวุโสหลายคนจับมือผู้บัญชาการกองทัพเทพยุทธ์พร้อมตบไหล่ของพวกเขา จากนั้นเดินไปด้านข้างของกงป้านเจวี๋ยและชิวอวี่เซวียนเพื่อขอรับส่วนแบ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ โหยวเหมยเฉียวกลอกตาไปมาพร้อมกับลุกขึ้นและกล่าวว่า
“ใครก็ตามที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากสิ่งต่าง ๆ ที่ถ่ายภาพในอาณาเขตของสำนักเหอฮวน สำนักของเราย่อมมีความเป็นเจ้าของสิ่งนั้นโดยธรรมชาติ”
“พี่สาวเหมยเฉียว!”
จั่วเหยียนเฟยถึงกับพูดไม่ออก
“ท่านก็เป็นสำนักอสูรเช่นเดียวกัน”
“สำนักอสูรแล้วอย่างไร? เจวี๋ยอวิ๋นจื่อคือศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเราไม่ใช่หรือ?”
โหยวเหมยเฉียวกล่าวอย่างมีไหวพริบ
“อ่า ศิษย์น้องเหยียนเฟย ใครเล่าให้ท่านฟังหรือว่าพวกเรามีมิตรภาพลึกซึ้งระหว่างกันและกัน?”
หลังกล่าวจบ นางลุกขึ้นพร้อมกับพุ่งทะยานตัวออกอย่างรวดเร็วพร้อมร่วมงานกับพวกเขาในทันที
“จั่วเหยียนเฟยไม่ต้องกังวล พวกเขาเพียงล้อเล่นเท่านั้น”
เมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของจั่วเหยียนเฟยแล้ว อวี้เมี่ยนฝูยิ้มพร้อมกล่าวคำ
“พวกคนเหล่านั้นคือบุคคลที่มีความเที่ยงธรรมแท้จริง และพวกเขาจะไม่ล้ำเส้น”
“พวกเขาเพียงแค่วางแผนจะระบายเงินส่วนตัวทั้งหมดของเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและเจ้าสำนักจี้หลิงอวิ๋นเท่านั้น”
จั่วเหยียนเฟยบ่นพึมพำ ก่อนจะหันมองอวี้เมี่ยนฝูด้วยความประหลาดใจ
“ว่าแต่เหตุใดพระคุณท่านจึงไม่กล่าวห้ามพวกเขา? ท่านไม่เคยโดนกระทำเช่นนี้มาก่อนหรอกหรือ?”
อวี้เมี่ยนฝูยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาชำเลืองมองจี้หลิงอวิ๋นก่อนจะกล่าวตอบ
“ความยุติธรรมอยู่ในใจ”