ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 537 ผู้คนจากโลกที่พังทลาย
บทที่ 537 ผู้คนจากโลกที่พังทลาย
บทที่ 537 ผู้คนจากโลกที่พังทลาย
ชายชราหัวหงอกกำลังพายเรือ
เขาสวมชุดเกราะที่ดูทรุดโทรมพร้อมกับมีรอยฟาดฟันจากคมดาบและกระบี่ทั่วทั้งชุด ใบหน้าหล่อเหลาทรงสง่า เคราสีฟ้าอ่อนตั้งแต่แก้มถึงคาง อีกทั้งยังมีสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก
ผมหงอกถูกมัดไว้เป็นหางม้าเรียบร้อยและถูกเก็บไว้ที่ด้านหลัง มือจับไม้พายแน่นขณะเรือลำเล็กต่อสู้กับคลื่นพลังปั่นป่วนในสายธารแห่งความว่างเปล่า สิ่งนี้นับว่ารุนแรงยิ่งกว่ามหาสมุทรหลายเท่า เรือเหวี่ยงขึ้นลงแล้วจมลงก่อนจะผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่อย่างไรแล้วชายชราผู้นั้นก็ยังสามารถประลองเรือไม่ให้ล่มได้
นอกจากชายที่พายเรือแล้ว ยังมีบุคคลอื่น ๆ อยู่บนเรือด้วยเช่นกัน ช่างตีเหล็กร่างแคระ ชายชราร่างท้วมในชุดคลุมยาว และสตรีรูปงาม อีกทั้งยังมีผู้พิทักษ์คอยดูแลสตรีผู้นั้นด้วยความเคารพ เด็กหญิงผมขาวกระจ่างราวจันทรากำลังหลับตาอยู่ ร่างกายผอมแห้งของนางทรุดตัวลงกับพื้นและสวดภาวนา
พวกเขาดูไม่เหมือนกองเรือที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีสักเท่าไหร่ ทั้งหมดดูเหมือนกับผู้ลี้ภัยเสียมากกว่า แม้คลื่นข้างหน้าจะสูงเสียดฟ้าแต่ทั้งหมดก็ไม่คิดท้อถอย
เมื่อเรือแล่นไปอย่างราบรื่น ‘แผ่นดิน’ ขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเรือไม้ลำน้อย
ชายผมหงอกวางไม้พายลง กะพริบตาพลางจับจ้อง จากนั้นใช้มือขยี้ดวงตา ก่อนที่ปลายนิ้วจะเปล่งประกายพลังบางสิ่ง ราวกับว่าเขาร่ายมนตร์บางอย่างให้กับดวงตา และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายชราก็มองไปยังแผ่นดินใหญ่ตรงหน้าพร้อมหันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงลังเลว่า
“หากข้ามองไม่ผิด นั่นคือผืนดินใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สตรีที่นั่งหลับตาอยู่ไม่ไกลยืดตัวขึ้น นางไม่ได้เปิดเปลือกตาแต่เห็นชัดว่านางใช้สัมผัสบางอย่างเพื่อตรวจสอบแผ่นดินที่ปรากฏด้านหน้าของเรือ
“ไม่แล้ว”
นางกล่าวตอบ
“นั่นคือเทพเจ้า ทวยเทพที่ครอบครองพลังเหนือธรรมชาติ”
ชายผมหงอกต้องการจะกล่าวบางอย่าง แต่ทันทีที่นางกล่าวจบ ‘แผ่นดิน’ ที่ว่าก็ลอยสูงขึ้น ก่อนที่พายุพลังงานมากมายถูกผลักออกไปโดยมียักษ์ตัวใหญ่ตนนี้เป็นผู้จัดการ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้และมันขวางเส้นทางเรือทั้งหมด
“หลบอยู่ด้านหลังของข้า!”
ชายผมหงอกทรงตัวพร้อมตะโกนลั่น จากนั้นเขายืนประจำตำแหน่งที่หัวเรือโดยหันหน้าไปทางเทพเจ้ายักษ์พร้อมกับดึงกระบี่ที่เอวออกมา
ใบมีดของกระบี่เต็มไปด้วยรูโหว่ มีร่องรอยการสู้รบมากมายอยู่บนนั้น มันดูไม่เหมือนอาวุธเวทมนตร์แม้แต่น้อย แต่คล้ายกับอาวุธโบราณที่ปล้นออกมาจากสุสานเสียมากกว่า
ลำแสงสีแดงคล้ายหินหนืดไหลไปตามรอยแผลบนใบมีด จากนั้นเปลวเพลิงสีชาดพลันปะทุออกรุนแรง
ชายชราผมหงอกกระชับดาบในมืดแน่น ก่อนจะจับจ้องไปยังศีรษะขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง จนถึงเวลานี้เขาเอาชนะศัตรูทรงพลังมากมายมานับไม่ถ้วนแล้ว และได้รับชัยชนะจากสถานการณ์สิ้นหวังอีกมากมาย แต่ถึงอย่างนั้น ศีรษะที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เขาเคยเผชิญหน้าทั้งหมด นับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
เวลานี้ศีรษะตนนี้กำลังขวางทาง และไม่ทราบว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หากเป็นมิตรก็ย่อมประเสริฐแล้ว แต่หากเป็นศัตรู ชายชราก็ไม่แน่ใจว่าจะพาสหายของตนรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้หรือไม่
ในขณะที่ชายชราผมหงอกเตรียมพร้อมจะต่อสู้ สัมผัสประหลาดพลันปรากฏจากทิศทางของยักษ์ คลื่นนี้ส่งเสียงดังก้องอยู่ ในคราวแรกมันเป็นเพียงเสียงอู้อี้ จากนั้นค่อยกลายเป็นภาษาที่พวกเขาเข้าใจได้ หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง… ทั้งสองจึงสามารถสื่อสารกันได้ในที่สุด
“ผ่อนคลายเถิดสหายเอ๋ย” เสียงนั้นดังขึ้น “พวกเราไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกท่าน”
ราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ชายผมหงอกเงยหน้าขึ้นจับจ้องสิ่งตรงหน้า
ในเวลาเดียวกันกับเสียงที่ดังขึ้น คลื่นพลังภายในสายธารแห่งความว่างเปล่าแยกตัวออกทั้งซ้ายและขวาด้านข้างของเรือไม้ และแผ่นดินใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากใต้สายธารแห่งความว่างเปล่าล่องลอยอยู่ด้านข้างของเรือ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือชายผมขาวพร้อมกับสตรีมากมายหลายคน
…
ไป๋ชิวหรานพาครอบครัวของเขามาหยุดยืนอยู่บนฝ่ามือของหุ่นกลเซียนยักษ์ จากนั้นทอดสายตามองผู้คนบนเรือไม้ลำเล็ก
เขาเหลือบมองชายชราผมหงอกที่อยู่ตรงหน้า สายตาหยุดค้างอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ จากนั้นมองสำรวจทีละคน และสุดท้ายเขาก็ให้ความสนใจกับตัวเรือและไม้พายเป็นพิเศษ
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะยื่นมือออกไปหาชายผมหงอก
“ยินดีที่ได้พบ โชคชะตานำพาให้มาเจอกันในสถานที่เช่นนี้… ข้าคือมนุษย์จากต้นสายธาร”
ชายผมหงอกมองพร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือไป๋ชิวหราน
“สวัสดี พวกเรามาจากด้านล่างของแม่น้ำสายใหญ่นี้… เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน และดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเป็นสหายร่วมเผ่าพันธุ์ข้า”
“เผ่าพันธุ์ของท่านก็เรียกขานตนว่ามนุษย์งั้นหรือ อย่างไรก็ดูคล้ายกันมากจริง ๆ นับว่าเป็นโชคชะตาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานยิ้มให้พวกเขาพร้อมกล่าวต่อ
“ภริยาของข้าตระเตรียมสุราไว้แล้ว เชิญแขกผู้มาเยือนขึ้นมาร่วมพูดคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่? ท่านคงจะเหนื่อยมากหลังจากเดินทางมานาน เหตุใดจึงไม่หยุดพักเรือสักหน่อยแล้วมาร่วมดื่มกับเรา?”
ชายผมหงอกครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะกล่าวตกลง ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงช่วยจัดการจอดเรือของอีกฝ่ายไว้บนฝ่ามือของหุ่นกลเซียนยักษ์ แล้วพาพวกเขาเข้าสู่ใจกลางฝ่ามือของหุ่นกล ซูเซียงเสวี่ย กับเจียงหลานจัดโต๊ะและเก้าอี้ต้อนรับแขก ส่วนหลีจิ่นเหยานำอาหารและสุรารสเลิศมาวางบนโต๊ะ จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงพากลุ่มแขกผู้มาเยือนทั้งหมดกินดื่มและพูดคุยกันที่นี่
ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จากคำบอกเล่าของชายผมหงอก ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ได้ทราบว่าคนกลุ่มนี้มาจากโลกที่พังทลาย เนื่องจากโลกกำลังถูกทำลาย พวกเขาจึงโค่นต้นไม้ยักษ์ในโลกของตนเองลงเพื่อสร้างเรือ และลงเรือไม้หนีมาพร้อมกับคนที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่
“พวกเรากำลังมองหาโลกใบใหม่”
ชายผมหงอกกล่าวคำ
“โลกที่อาจจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเราได้”
“โอ้! เช่นนั้นท่านก็ได้พบแล้ว!”
ไป๋ชิวหรานหัวเราะเมื่อได้ยินพร้อมกล่าวต่อ
“ข้าสามารถจัดการเรื่องโลกที่พวกท่านต้องการให้ได้”
ดวงตาของชายผมหงอกเปล่งประกายพร้อมรีบกล่าวถาม
“แล้ว… พวกเราต้องจ่ายสิ่งใดตอบแทนหรือ?”
“เราไม่ได้ต้องการสิ่งของมีค่า ไม่ได้ต้องการวิญญาณ ร่างกาย ทรัพย์สมบัติของพวกท่าน…”
ไป๋ชิวหรานหยุดชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่เราต้องการเพียงคำสัตย์สาบาน!”