ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 538 โลกที่ถูกกัดกิน
บทที่ 538 โลกที่ถูกกัดกิน
บทที่ 538 โลกที่ถูกกัดกิน
เมื่อได้รับมรดกของราชสำนักหุ่นกลมาแล้ว ตามข้อตกลงระหว่างโลกแห่งเซียนและนครสรวงสวรรค์ในฟองอากาศ แดนดินที่เป็นที่ตั้งเก่าของราชสำนักหุ่นกลจะถูกมอบให้กับชาวนครสรวงสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของนครสรวงสวรรค์นั้นแตกต่างจากมหาเทพหุ่นกลอย่างแท้จริง ความจริงแล้วโลกนครสรวงสวรรค์สามารถควบคุมพื้นที่ว่างเปล่าได้น้อยกว่าหนึ่งในสามเช่นโลกของราชสำนักหุ่นกล
แต่ที่พวกเขาดูแลได้… เป็นเพราะไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ทิ้งโครงสร้างมากมายที่เป็นประโยชน์ไว้เบื้องหลัง
ไม่มีทาง… เพื่อให้นครสรวงสวรรค์เป็นกำแพงกั้นและเขตปราการของโลกแห่งเซียน อีกทั้งยังต้องคอยตรวจตราสิ่งแปลกปลอมภายในสายธารแห่งความว่างเปล่าตามแผนการที่โลกแห่งเซียนวางแผนไว้ เวลานี้โลกแห่งเซียนช่วยเหลือโลกนครสรวงสวรรค์ไว้มากมาย เช่นนี้พวกเขาจึงทำข้อตกลงพันธมิตรร่วมกัน
ดังนั้นเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่พร้อมจะทำลายอารยธรรมชั้นสูงภายในกำแพงแห่งความตระหนักรู้ จักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนเลือกใช้การป้องกันเช่นนี้ เขาหวังว่าในอนาคตโลกแห่งเซียนจะสมารถเอาชนะอารยธรรมชั้นสูงที่อยู่ลึกเข้าไปในความว่างเปล่าได้โดยไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ทุกคนสามัคคีและร่วมเป็นหนึ่ง ย่อมสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นเขาจึงเข้าหาไป๋ชิวหราน โดยหวังว่าบรรพชนกระบี่ที่ชอบวิ่งเล่นในความว่างเปล่าจะเชิญบุคคลเหล่านั้นเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับโลกแห่งเซียนเมื่อได้พบเจอกับเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมชั้นสูง
เช่นเดียวกับชายผมหงอกผู้นี้ แม้ว่าจะเหลือเพียงไม่กี่คน แต่พวกเขาก็ยังคงใหม่และแตกต่างจากโลกแห่งเซียนภายในราชสำนักหุ่นกลในดินแดนจิตสำนึกและนครสรวงสวรรค์ในฟองอากาศ ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงเป็นตัวแทนจากโลกแห่งเซียนเพื่อพูดคุยกับพวกเขาในเวลานี้
“แล้วต้องการให้ข้ากล่าวสัตย์สาบานใด?”
ชายผมหงอกนำกลุ่มผู้รอดชีวิตพเนจรไปตามสายธารแห่งความว่างเปล่าเนิ่นนาน เขาทั้งเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เวลานี้จึงต้องการสถานที่เพื่อพักผ่อนชั่วคราว และตราบใดที่คำสัตย์เหล่านั้นไม่มากเกินความสามารถ เขาก็ยินยอมพร้อมจะตอบตกลง
ไป๋ชิวหรานมอบพันธสัญญาระหว่างโลกแห่งเซียนและพันธมิตรนครสรวงสวรรค์ให้เขา ชายผมหงอกหันศีรษะไปปรึกษากับสหายของเขา ก่อนจะหันกลับมาตอบตกลงในทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“สหายเอ๋ย อย่าได้ตกใจเลย…”
ชายผมหงอกยกยิ้มพร้อมกล่าวต่อ
“แม้ข้าจะทราบเรื่องนี้ แต่ข้าเกรงว่ามันจะเป็นคำสัตย์สาบานที่พวกท่านใช้เป็นพันธมิตรกับเหล่าอารยธรรมต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วจึงสมควรพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ในโลกของพวกเราเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อาจจะกล่าวได้ว่าสูญสิ้นหมดแล้วก็ย่อมได้ ดังนั้นพิจารณามากไปก็ไร้ประโยชน์ โลกใบนี้ไร้ซึ่งอาหารกลางวันที่ไม่ต้องเสียผลประโยชน์ เรายินดีให้คำสัตย์สาบานให้ท่าน จากนั้นพวกท่านมอบโลกให้กับเรา สิ่งนี้คุ้มค่ามากแล้ว”
ชายผมหงอกหยุดชั่วคราวก่อนจะกล่าวต่อ
“นอกจากนี้ คำสัตย์สาบานที่ท่านเขียนขึ้นยังนับว่ามีเมตตามากเมื่อเทียบกับสัตย์สาบานที่ข้าเคยกระทำมาก่อน”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นทั้งคู่นั่งสนทนาร่วมกันสักพักก่อนที่ไป๋ชิวหรานจะเขียนจดหมายส่วนตัวมอบให้พวกเขา จากนั้นก็ให้เรือเหาะว่างเปล่าหนึ่งลำพร้อมกับใส่ตำแหน่งให้อัตโนมัติ และส่งพวกเขาไปที่โลกแห่งเซียนอีกฝั่งหนึ่งเพื่อช่วยจัดการเรื่องเหล่านี้
“เดี๋ยวก่อน”
ก่อนจากไป ชายผมหงอกคล้ายกับจดจำบางสิ่งได้ เขาจึงกล่าวกับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ว่า
“มีเรื่องหนึ่งต้องกล่าวกัน สหายเอ๋ย เจ้าต้องระวังตัวให้ดี พวกเราผ่านโลกมากมายระหว่างทางมายังสถานที่แห่งนี้ แต่เราไม่พบโลกที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตเลย บางโลกดูเหมือนถูกกลืนกินด้วยบางสิ่ง โอ้… ป่านนี้คงไม่เหลือสิ่งใดแล้ว พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”
ไป๋ชิวหรานนึกถึงบางสิ่งก่อนกล่าวตอบรับอย่างเคร่งขรึม
“ข้าเข้าใจแล้ว… ขอบคุณ”
“ยินดีแล้ว หลังจากก่อตั้งพันธมิตร การช่วยเหลือเจ้าก็เปรียบเสมือนสหายช่วยเหลือกัน”
ชายผมหงอกแสดงความมีมารยาทต่อหน้าไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน”
“ลาแล้ว”
ชายผมหงอกและพรรคพวกผลักเรือไม้ขึ้นไปบนเรือเหาะก่อนจะมุ่งหน้าออกไป
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“พวกเขาเป็นคนเถรตรงอย่างแท้จริง”
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงเคร่งขรึมนัก?”
ถังรั่วเวยมองไปยังทิศทางผู้ที่ออกไปด้วยความรู้สึกสับสน
“ไม่ว่าอารยธรรมจะทรงอำนาจเพียงใด มันก็ต้องมีจำนวนที่มากพอด้วย ถ้าคิดว่าพวกเขานั้นเหลือกันเพียงแค่หก เช่นนั้นก็แค่ปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนดังอารยธรรมทั่วไป”
“เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าขอให้เจ้าอ่านตำราให้มากขึ้น และอย่านอนอยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งวันโดยไม่ทำสิ่งใด”
ไป๋ชิวหรานบ่นถังรั่วเวยอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าคิดว่าผู้ที่สามารถพายเรือเล็กทวนกระแสพลังในสายธารแห่งความว่างเปล่าได้อ่อนแองั้นหรือ?”
“ความแข็งแกร่งของคนเรานั้นไร้ประโยชน์หรือ? มันไม่อาจเป็นตัวแทนอารยธรรมของเขาได้หรือไร?”
ถังรั่วเวยกล่าวคำโต้แย้ง
“หากจักรพรรดิเซียนจากฝ่ายเราออกไป ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นตัวแทนของโลกแห่งเซียน”
“มันขึ้นอยู่กับบุคคล สำหรับสตรีโง่เขลาเช่นเจ้า แม้จะออกนอกโลกด้วยสถานะจักรพรรดิเซียน แต่เจ้ามีเพียงความละอายใจที่เปิดเผยสู่โลกภายนอกเท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานตำหนิ
“แต่หลานชายของเจ้านั้นแตกต่าง พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้มีพรสวรรค์แท้จริง ดูอย่างซู่หัวเสียสิ ทันทีที่เขาเดินออกไป เขามอบหุ่นกลให้กับโลกแห่งเซียน มหาเทพหุ่นกลเป็นบุคคลที่มีอำนาจแท้จริงแต่ไม่อาจเป็นตัวแทนอารยธรรมได้ แต่บุคคลที่ทรงพลังจะสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งอารยธรรมได้อย่างง่ายดาย เข้าใจหรือไม่?”
เขาจับศีรษะของถังรั่วเวยแกว่งไปมาพร้อมกล่าวต่อ
“อย่าเพิ่งมองไปที่ผู้พิทักษ์ที่มีเปลวไฟบนคมดาบเมื่อได้พบเราครั้งแรก เขาดูเหมือนผู้ฝึกตนที่เพิ่งผ่านขั้นการกลั่นลมปราณ และเพิ่งเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังปราณที่แท้จริงเท่านั้น แต่นั่นเป็นแค่การแสดง พลังปราณที่แท้จริงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นบริสุทธิ์และสม่ำเสมอยิ่ง แม้รูปแบบการต่อสู้จะเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป เช่นการกลิ้งหลบ ต่อสู้ด้วยดาบ แต่ความสามารถของเขาอาจจะไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเซียน… ชายผู้นั้นควรจะเป็นผู้หลบหนีจากโลกที่ทรงพลังซึ่งถูกสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพเจ้าถือกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“และวัสดุที่สร้างเรือไม้ของพวกเขามิใช่ธรรมดา”
ซูเซียงเสวี่ยอุ้มเด็กทั้งสองคนเอาไว้พร้อมกล่าวว่า
“เขาบอกว่าทั้งหมดโค่นต้นไม้ยักษ์เพื่อสร้างเรือ แต่ต้นไม้ธรรมดาจะสามารถแล่นในสายธารแห่งความว่างเปล่าได้อย่างไร”
“ต้นไม้นั้นควรจะเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ค้ำจุนโลก เป็นจุดศูนย์กลางของโลกใบนั้น เพียงแค่รูปร่างของมันเป็นต้นไม้เท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานมองเจียงหลาน
“หลานเอ๋อร์ เซียงเสวี่ย ข้าเคยเห็นโลกเช่นนั้นมาก่อน พวกเจ้าจดจำโลกที่ผู้ฝึกตนใช้พลังแห่งยันต์ได้หรือไม่? ที่เต็มไปด้วยภูตและกิ้งก่าน้อย โลกของพวกเขามีเพียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ค้ำเอาไว้เพื่อให้ดำรงอยู่ได้เท่านั้น”
“ข้าจดจำได้”
เจียงหลานพยักหน้า
“และในการโค่นล้มต้นไม้ดังกล่าว เทพเจ้าผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งเหนือมหาเทพ และจะต้องมีจำนวนมากกว่าหกคน…”
“คนกลุ่มนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงกลุ่มผู้ลี้ภัยที่โลกของพวกเขาพังทลาย แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือตัวแทนอารยธรรมใหม่ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยพบเจอมาก่อน และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับชายชราผมหงอก เอาล่ะ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถเติบโตในโลกของพวกเราได้ และโลกแห่งเซียนก็จะได้รับความรู้และเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ต่อไป”
ไป๋ชิวหรานสั่งสอนบทเรียนให้กับถังรั่วเวย
“ส่วนเจ้า จงอ่านหนังสือให้มากขึ้น อย่าได้เอาแต่กินนอนไปวัน ๆ ดูเอาเถิด ซวี่เซียง! โม่เสวี่ย! จดจำพี่สาวของพวกเจ้าให้ดี นี่คือคำเตือนเป็นเด็ดขาด เจ้าทั้งสองห้ามเรียนรู้สิ่งใดจากพี่สาวผู้นี้ อย่าได้ทำตามเป็นเยี่ยงอย่างเด็ดขาด!”