ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 54 ศิษย์หญิงแห่งสำนักอสูรสวรรค์ผู้โหยหาการแต่งงาน
บทที่ 54 ศิษย์หญิงแห่งสำนักอสูรสวรรค์ผู้โหยหาการแต่งงาน
ในฐานะพันธมิตรของสำนักฝ่ายมาร หรือแม้แต่สำนักของผู้ฝึกตนทั้งหมด ต้นกำเนิดของสำนักอสูรสวรรค์นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดสืบย้อนกลับไปก่อนสมัยรุ่งเรืองของจักรวรรดิต้าชางเสียอีก
แม้ช่วงหลังสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ สำนักอสูรสวรรค์ยังคงสืบทอดมรดกของตัวเองต่อไป ไม่ว่าสำนักผู้ฝึกตนสายมารอื่น ๆ จะถือกำเนิดขึ้นหรือแตกดับ ถึงคราวรุ่งเรืองหรือล่มสลายลง สำนักอสูรสวรรค์ก็ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิมเสมอตลอดระยะเวลานับพันปี ราวกับเป็นสักขีพยานหลักในประวัติศาสตร์
แตกต่างจากสำนักเหอฮวนที่แฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์ ที่พยายามซ่อนเร้นที่ตั้งของสำนักไว้ในเมืองแล้วทำกิจการบังหน้าไม่ให้เป็นที่สังเกต หรือสำนักวิญญาณหยินที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างสันโดษ จนสามารถก่อตั้งสำนักเหนือสุสานขนาดใหญ่ สำนักอสูรสวรรค์เป็นสำนักเดียวในพันธมิตรของผู้ฝึกตนสายมารที่กล้าเปิดเผยที่ตั้งของสำนัก ทั้งยังครอบครองดินแดนแห่งจิตวิญญาณเป็นส่วนใหญ่
เมื่อมองจากภายนอก ยอดเขาที่สำนักอสูรสวรรค์ตั้งอยู่นั้นเต็มไปด้วยรัศมีแห่งจิตวิญญาณ หากไม่ใช่เพราะคำว่า ‘สำนักอสูรสวรรค์’ ที่เขียนอยู่บนหน้าผา ผู้มาเยือนคงคิดว่าตนกำลังเดินทางมาที่สำนักใดสำนักหนึ่งในห้าสำนักของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรม
บุรุษร่างสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าป้ายชื่อสำนักสามคำนี้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางบนภูเขา ผ่านค่ายกลซึ่งมีกลไกซับซ้อนด้วยความเคยชิน ก่อนก้าวผ่านประตูเข้าไปในสำนักอสูรสวรรค์ มุ่งตรงไปข้างหน้าตลอดทาง ดูเหมือนว่าบรรดาศิษย์ที่เดินผ่านไปมาของสำนักอสูรสวรรค์ไม่เห็นบุรุษผู้นี้แต่อย่างใด ปล่อยให้เขาเดินผ่านไปอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้
ชายหนุ่มคนดังกล่าวเดินรุดหน้าเข้าไปในหอบรรยายของสำนักอสูรสวรรค์ เขายืนรั้งรออยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ภายในหอบรรยาย จี้หลิงอวิ๋น ประมุขแห่งสำนักอสูรสวรรค์เป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม ทว่ามีท่าทีหยาบกระด้าง นางกำลังบรรยายความให้กับศิษย์สายตรงแห่งสำนักอสูรสวรรค์ฟัง
“วันนี้เราจะบรรยายถึงเรื่องของวัฒนธรรม”
จี้หลิงอวิ๋นนั่งอยู่บนม้านั่งซึ่งทำจากไม้ไผ่ ไม่ใส่ใจว่าเรียวขาขาวผ่องของตนจะโผล่พ้นจากชายกระโปรงยาวสีดำสนิทหรือเปิดเผยสิ่งสงวนต่อหน้าศิษย์แต่อย่างใด มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปเกาบริเวณเอวอย่างเกียจคร้าน ส่วนอีกมือถือไม้ไผ่เรียวยาวเคาะไปบนกระดานดำขนาดเล็กที่แขวนอยู่บนผนังของหอบรรยาย
“ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะฝักใฝ่ธรรมหรือฝักใฝ่มารก็จำต้องมีเป้าหมายที่ชัดแจ้ง ผู้ที่มีเป้าหมายเท่านั้นจึงจะรักษาความแข็งแกร่งและพัฒนาขึ้นสู่ระดับต่อไปได้ วันนี้เราจะพูดคุยเรื่องเป้าหมายในชีวิตกัน โม่ถงจื่อ… เริ่มจากเจ้าก่อน”
เด็กชายที่ถูกเรียกชื่อลุกขึ้นยืน เขาเป็นเด็กชายรูปงาม ใบหน้าขาวผ่องประหนึ่งทารกแรกกำเนิด ทว่าระหว่างคิ้วปรากฏร่องรอยของความเหี้ยมโหด แม้ภายนอกดูเหมือนเด็กชายน่ารักแสนบอบบาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นศิษย์สายตรงคนแรกของสำนักอสูรสวรรค์ ทั้งยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมด
“เรียนท่านอาจารย์”
เด็กชายลุกขึ้นยืนตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบซึ่งแฝงไปด้วยความอำมหิต
“ตระกูลของข้าถูกสังหารโดยน้ำมือของสำนักฝ่ายธรรมนามว่าสำนักเหมินเยว่เหอเพียงเพื่อดูดซับปราณธาตุพืช หลังจากร่ำเรียนจนสำเร็จทุกกระบวนวิชาแล้ว ปรารถนาจะสังหารคนของสำนักเหมินเยว่เหอให้หมดสิ้น และใช้กระบี่บั่นศีรษะเจ้าสำนักผู้นั้นให้ตายตกไปเสีย!”
อา… เป้าหมายของศิษย์พี่ใหญ่ไม่เลวเลย ในฐานะผู้ฝึกตนสายมารแล้วนับว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน
ขณะที่โม่ถงจื่อกำลังพูดอยู่นั้น เด็กสาวผู้งดงามซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังถัดจากเขาสามแถวก็ใช้มือเท้าคางตนเองไว้ คิดสรรเสริญในใจไปด้วย
“ดี ดีมาก เต็มไปด้วยจิตสังหาร ข้าถูกใจนัก สมแล้วที่เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักอสูรสวรรค์”
ท่านอาจารย์จี้หลิงอวิ๋นแสดงออกว่านางค่อนข้างพึงพอใจทีเดียว แต่แล้วกลับแปรเปลี่ยนคำพูดอย่างฉับพลัน
“ทว่าสำนักเหมินเยว่เหอที่เจ้ากล่าวถึงนั้นถูกสอบสวนความโดยผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ควบคุมกฎของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรมแล้ว ศิษย์ของสำนักทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกไปจนสิ้น เจ้าสำนักและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดนโทษประหารบั่นศีรษะ ฉะนั้นคงไม่ต้องล้างแค้นใด ๆ อีก ต้ายิน เจ้าพูดมาซิ”
ใบหน้าของเด็กชายแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดก่อนจะทรุดกายลงนั่งด้วยอาการเหม่อลอย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เด็กสาวเรือนผมสีแดงเพลิงลุกขึ้นยืน
“ท่านอาจารย์!”
นางตบหน้าอกของตนด้วยความมั่นใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความภาคภูมิว่า
“ในอนาคตข้าจะต้องได้เป็นเจ้าสำนัก นำพาสำนักอสูรสวรรค์ให้เป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ทำให้โลกทั้งใบยอมจำนนต่อชื่อเสียงอันเกรียงไกร ฮ่า ๆ ๆ!”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เด็กสาวผู้นั้นระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความลำพอง คำพูดนั้นช่างกล้าหาญยิ่ง
อา… อุดมคติของศิษย์พี่รองช่างสูงส่งกว่าศิษย์พี่ใหญ่เสียอีก น่าทึ่งเหลือเกิน ด้วยอุดมคติอันสูงส่งเช่นนี้ ควรค่าแล้วที่เป็นถึงศิษย์พี่รองของเรา
เด็กสาวคนเดิมครุ่นคิดในใจอีกครั้ง
“อืม เป้าหมายของเจ้าสูงเลิศล้ำกว่าโม่ถงจื่ออยู่หลายส่วนทีเดียว ข้าถูกใจนัก หึ”
จี้หลิงอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อไป
“ทว่าการเลื่อนระดับขั้นการฝึกตนของเจ้าต่ำที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงร่วมสำนัก หากไม่พยายามให้มากขึ้น แม้แต่ศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาร่ำเรียนในสำนักอาจเก่งกาจเหนือกว่าในที่สุด ขณะที่กำลังวาดฝันอยู่นี้ จงก้าวเท้าให้มั่นคง เพิ่มพูนระดับการฝึกตนให้ดี คนต่อไป หยินฉาเจี๋ย มาเถอะ”
เด็กสาวเรือนผมสีแดงเพลิงก้มหน้าลงนั่งอย่างหดหู่ อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มอีกคนที่มีสีหน้าจริงจังลุกยืนขึ้น
“เรียนท่านอาจารย์!”
เขาตะโกนด้วยเสียงอันดังประหนึ่งทหารชาตินักรบ
“ข้าไม่มีเป้าหมายใดเป็นพิเศษ!”
“เหลวไหลน่า!”
ดวงตาของจี้หลิงอวิ๋นพลันเบิกกว้างด้วยความโกรธ
“เช่นนั้นจงกล่าวถึงสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะทำมากที่สุดมาซิ”
“สิ่งที่ข้าอยากทำมากที่สุด…”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดใบหน้าของหยินฉาเจี๋ยถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ เขาหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ที่เหม่อลอยอยู่ด้านข้าง พลางตอบด้วยเสียงกระซิบว่า
“หากพูดไปแล้วเกรงว่าอาจจะดูไม่ดีนัก ระยะนี้ข้าเห็นศิษย์พี่ใหญ่แล้วเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดชอบกล ข้า…ข้าอยากผูกสัมพันธ์กับเขา…”
ว้าว ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าศิษย์พี่สามซึ่งแข็งแรงอกสามศอกจะมีรสนิยมเช่นนี้ มิน่าเล่า ตอนถึงเวลาอาบน้ำชำระกาย ถึงไม่เคยเห็นเขาอยู่รวมกับผู้ใด ความคิดนี้ช่างร้ายกาจกว่าใครทั้งหมด อย่างน้อยก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของผู้ฝึกตนสายมารในสายตาของคนทั้งโลกอยู่บ้าง ชั่วร้าย ซ้ำยังวิปริตหาใดเปรียบ ศิษย์พี่สามช่างน่านับถือเสียจริง ข้าคงไร้ความกล้าที่จะสารภาพตามตรง
เด็กสาวคนเดิมนึกคิดในใจอีกครั้ง
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดต่อแล้ว”
จี้หลิงอวิ๋นขัดจังหวะเขาเสียก่อน นางชี้ไปที่ประตูพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ออกไป ถอดเสื้อผ้าอันเป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สายตรงออกเสีย ข้า… จี้หลิงอวิ๋น ไม่เคยมีศิษย์เช่นเจ้า”
…
เป็นอีกหนึ่งคำถามและหนึ่งคำตอบที่ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้ ว่าแล้วจี้หลิงอวิ๋นก็หันกลับไปถามอีกครั้ง เมื่อเธอเห็นเด็กสาวนางหนึ่ง ใบหน้าของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้คืออัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากในหมู่ผู้ฝึกตน มีร่างกายอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เป็นพรสวรรค์ที่พิเศษยิ่งนัก จี้หลิงอวิ๋นเคยเห็นลักษณะร่างกายดังกล่าวในบันทึกโบราณของสำนักอสูรสวรรค์เท่านั้น ส่วนครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นคือยุครุ่งเรืองก่อนจะเกิดสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเสียอีก
นอกจากร่างกายอันพิเศษนี้แล้ว เด็กสาวผู้นี้ยังแสดงพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ออกมา นางเริ่มต้นฝึกฝนเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่กลับบรรลุระดับสูงสุดของขั้นปฐมวิญญาณ สารพันเคล็ดวิชาจากสำนักผู้ฝึกตนสายมารทั้งสาม หรือแม้แต่เคล็ดวิชาลึกลับที่ถูกตกทอดมาจากสำนักโลหิตเทวะ อีกทั้งยังเรียนรู้ได้อย่างราบรื่นโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
ในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า แม้แต่จี้หลิงอวิ๋นก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตนเองจะเอาชนะศิษย์สายตรงผู้นี้ได้ สิ่งเดียวที่นึกเสียใจคือการที่ร่างกายของนางมิได้เป็นแบบเดียวกับบรรพชนผู้บ้าบิ่นแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง ต้องรออีกร้อยปีถึงจะพัฒนาจนก้าวข้ามความหายนะแห่งนิพพานได้ ภายในเวลาไม่กี่ร้อยปีนี้ไม่รู้ว่าจะปกป้องสำนักอสูรสวรรค์ได้นานเพียงใด…
“จิ่นเหยา มาเถิด บอกเป้าหมายในชีวิตเจ้าให้อาจารย์ฟังหน่อยสิ”
หลีจิ่นเหยาลุกขึ้นยืน ศิษย์พี่ศิษย์น้อง อาจารย์ และบรรดามิตรสหายรอบข้าง ต่างจ้องมองศิษย์หญิงผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของสำนักอสูรสวรรค์ด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง
นางประหม่าเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่ใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเพราะความเขินอาย รวบรวมความกล้าก่อนจะกล่าวออก
“เรียนท่านอาจารย์ ความฝันอันสูงสุดของศิษย์คือการได้พบเจอสามีที่ดีในอนาคต ตั้งใจอบรมสั่งสอนบุตร และมีโอกาสได้ทำหน้าที่ภรรยาอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ”