ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 542 บรรพชนกระบี่ไม่อาจเทียบเท่าแมลงห้วงแห่งความว่างเปล่า
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 542 บรรพชนกระบี่ไม่อาจเทียบเท่าแมลงห้วงแห่งความว่างเปล่า
บทที่ 542 บรรพชนกระบี่ไม่อาจเทียบเท่าแมลงห้วงแห่งความว่างเปล่า
บทที่ 542 บรรพชนกระบี่ไม่อาจเทียบเท่าแมลงห้วงแห่งความว่างเปล่า
เมื่อเห็นการกระทำของมัน ทั้งสามที่อยู่ในห้องทดลองถึงกับประหลาดใจ
“โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น?”
เล่อเจิ้นเทียนพึมพำ
“กินเนื้อดิบนั้นไม่แปลกใจนัก แต่สามารถกินเหล็กได้ด้วยงั้นหรือ!?”
“คิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด”
ไป๋ชิวหรานนึกถึงฉากที่น่าสลดใจครั้งที่เขาได้พบเห็นในหลายที่ขณะล่องไปยังแม่น้ำแห่งความว่างเปล่า เมื่อครั้งที่เขาและเจียงหลานออกไปท่องเที่ยวก่อนหน้านี้
“แมลงพวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ มันกลืนกินทุกสิ่ง แต่มันยังกลืนกินหุ่นกลไปเพื่ออะไร? มันไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย”
ถึงจะกล่าวอย่างนั้น แต่ไป๋ชิวหรานยังรู้สึกถึงลางสังหรณ์เลวร้ายในใจ
“ลองดูสิ” มหาเทพหุ่นกลกล่าวเตือน “การตอบสนองของแมลงตัวนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ แมลงสีดำก็กำลังเคี้ยวพลังแห่งยันต์บนคมมีดของหุ่นกลออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะกลืนมันลงท้องไปอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเปลือกแข็งสีดำบนร่างกายของมันกลายเป็นวัตถุสีขาวนุ่มห่อหุ้มร่างกายเอาไว้จนเกิดเป็นรังไหมขนาดใหญ่ จากนั้นรังไหมยักษ์กลายเป็นสีดำเริ่มแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว กลายเป็นไข่ขนาดใหญ่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า
ภายในไข่สามารถมองเห็นพลังงานสีทองกะพริบอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดที่พลังงานนั้นส่องแสงออกมา จะสามารถมองเห็นโครงสร้างของอวัยวะภายในของแมลงได้อย่างชัดเจน และโครงสร้างเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“ตรวจพบว่าร่างกายของมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะมีคฤหาสน์สีม่วงประดิษฐ์ปรากฏขึ้นในร่างกาย… การอ่านค่าพลังงานก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย…”
มหาเทพหุ่นกลบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่พบในกระบวนการนี้
สภาวะรังไหมของแมลงตัวนี้กินเวลาประมานครึ่งชั่วยาม จากนั้นเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ผิวด้านนอกของรังไหมยักษ์แตกออก และแมลงสีทองตัวใหม่หลายออกมาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
รูปลักษณ์ของแมลงตัวนี้คล้ายกับร่างก่อนหน้า แต่ขนาดของมันใหญ่ขึ้น… และเปลือกแข็งก็เปลี่ยนเป็นสีทองปกคลุมด้วยพลังแห่งยันต์ที่เหมือนกับหุ่นกลก่อนหน้านี้ ขาหน้าของมันยังกลายเป็นใบมีดคมปลาบไม่ต่างอะไรจากคมดาบของหุ่นกลก่อนหน้า
“มันวิวัฒนาการจากสิ่งที่กินเข้าไป”
มหาเทพหุ่นกลมองไป๋ชิวหราน
“อืม ข้าเห็นแล้ว…”
สีหน้าของไป๋ชิวหรานพลันเคร่งขรึมก่อนจะกล่าวต่อ
“ความเร็วในการวิวัฒนาการนี้น่ากลัวจริง ๆ…”
“ไม่ใช่.. นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากล่าวถึง”
มหาเทพหุ่นกลกล่าวเสริม
“สิ่งที่ข้าหมายถึงคือการตรวจสอบด้วยเครื่องมือและตรวจสอบว่าหลังจากแมลงกลืนกินหุ่นกลระดับต่ำ มันก็สามารถพัฒนาโครงสร้างที่คล้ายกับคฤหาสน์สีม่วงประดิษฐ์ และในนั้นยังมีพลังงานที่คล้ายกับปฐมวิญญาณด้วย…”
“อืม” ไป๋ชิวหรานกัดฟันกรอด “ข้าสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของมันที่มีต่อโลกใบนี้! …สิ่งมีชีวิตนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป มันไม่สมควรจะมีอยู่บนโลกใบนี้!”
“ข้าเห็นด้วย สำหรับสิ่งนี้ เราต้องกำจัดทิ้งไม่ให้เหลือซาก…” เล่อเจิ้นเทียนหันมองอาจารย์ของตน
ไป๋ชิวหรานคว้าคอของเล่อเจิ้นเทียนพร้อมกล่าวเคร่งขรึม
“บัดซบ! ในอนาคตข้าก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาสะกิดหลังข้าและชี้ว่า แม้แต่บรรพชนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ยังมีความรวดเร็วในการฝึกฝนน้อยกว่าแมลง?”
เขารู้สึกโกรธมาก และเมื่อตะคอก น้ำลายทั้งหมดพ่นลงบนใบหน้าของผู้ทรงอำนาจสูงสุดของโลกแห่งเซียน
เล่อเจิ้นเทียนเงียบงัน พร้อมกับลอบคิดในใจว่า จักรพรรดิเซียนทั้งหมดในอาณาจักรเซียนจะสามารถเอาชนะตาเฒ่าไป๋นี้ได้หรือไม่? หลังจากไตร่ตรองสักครู่เขาก็ล้มเลิกความคิดอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างจริงจัง
“ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ท่านกล่าวทั้งหมดมีเหตุผล ศักดิ์ศรีแห่งแดนเซียนจะไม่อาจถูกแมลงหยามหน้าได้!”
ไป๋ชิวหรานพึงพอใจในคำตอบมาก เขาจึงปล่อยลำคอของศิษย์ผู้นี้แล้วช่วยจัดเสื้อผ้าของเขาให้เข้าที่ด้วย
เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของอีกฝ่าย เล่อเจิ้นเทียนจึงตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัว เพื่อความปลอดภัยของเขาและพี่ใหญ่ เขาตัดสินใจที่จะไม่กล่าวถึงการกลับชาติมาเกิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัวกับไป๋ชิวหรานในเวลานี้
การกลับชาติมาเกิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัวนั้นไร้ความสามารถไม่ต่างจากเมื่อก่อน และเขาไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตการสร้างรากฐานได้แม้จะใช้เวลาชั่วชีวิต อย่างไรก็ตาม คราวนี้จักรพรรดิเซียนซู่หัวยังคงอาศัยไหวพริบและทักษะดาบในการฝึกฝน เขาจึงสามารถทะลวงผ่านการก่อสร้างรากฐานได้สำเร็จ และฝึกฝนทักษะกระบี่ต่อไปอย่างราบรื่นและไร้อุปสรรค
เวลานี้ หลังจากไป๋ลี่ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตเซียน เขาเข้ายึดครองสำนักที่ไป๋ลี่ทิ้งไว้ในโลกวัตถุ และขึ้นเป็นจ้าวสำนักในตำแหน่งปรมาจารย์แห่งโลก
แม้เล่อเจิ้นเทียน โม่เฉิน และไป๋ลี่คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวจะทำเช่นนั้น แต่ในสายตาของบรรพชนกระบี่เช่นไป๋ชิวหรานอาจไม่ง่ายดายนัก
สิ่งที่น่าหวาดกลัวคือเขาเป็นคนหัวโบราณมากกว่าผู้ใด การหลอมรวมของบุคคลแข็งแกร่งสองคนไม่อาจก้าวเข้าสู่ขอบเขตการก่อสร้างรากฐานได้ หากมีคนหนึ่งสามารถทะลวงผ่าน แต่อีกคนไม่สามารถทะลวงผ่าน สุดท้ายแล้วผู้ที่ไม่อาจทะลวงผ่านก็ยังแข็งแกร่งกว่าได้
เมื่อเปรียบเทียบจิตใจของเขากับจิตใจของตน เล่อเจิ้นเทียนรู้สึกว่าหากไป๋ชิวหรานรู้เรื่องนี้ เขาจะหาข้ออ้างเพื่อส่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขากลับสู่ปรโลกเพื่อกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง!
“ต่อไป ข้าจะทำการค้นคว้าเกี่ยวกับลักษณะของแมลงตัวนี้ และพยายามหาจุดอ่อนของมันโดยเร็ว”
มหาเทพหุ่นกลกล่าวคำ
“เป็นการดีที่สุดที่จะแจ้งให้ชาวเอเดนระวังตัว เพราะตามข่าวกรองที่ได้รับจากบรรพชนกระบี่แล้ว การก่อความวุ่นวายของแมลงตัวนี้อาจจะอยู่ไม่ไกลจากศาลเทพหุ่นเชิดจักรกลนัก”
“ข้าจะจัดการเรื่องนั้น ส่วนการค้นคว้าเกี่ยวกับแมลงตัวนี้ให้เป็นหน้าที่เจ้า”
เล่อเจิ้นเทียนออกคำสั่ง
…
หลังจากเล่อเจิ้นเทียนจัดการเรื่องที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงออกจากสถานที่ทดลองหมายเลขเจ็ดของมหาเทพหุ่นกล
จักรพรรดิเล่อเจิ้นเทียนมีภารกิจต้องทำมากมาย ทั้งยังมีนางบำเรอจำนวนมากที่เขาต้องไปจัดการ ดังนั้นหลังจากขอตัวจากไป๋ชิวหรานแล้วเขาก็รีบแยกทาง หลังจากกล่าวคำลา ไป๋ชิวหรานก็กลับสู่บ้านของตนในเก้าทวีปสิบมหาแผ่นดินทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้าน มีคำบ่นจากซูเซียงเสวี่ยและแม่นางน้อยมากมาย แน่นอนว่าเขาจะต้องจัดการให้ทั้งสองสงบลงโดยเร็วที่สุด
ในวันถัดมา หลังจากไป๋ชิวหรานลุกจากเตียงและอาบน้ำเสร็จสิ้น เขารีบตรงเข้าสู่ห้องศึกษาและพบว่าเสาสัญญาณในห้องนี้กำลังสั่นไหวราวกับมีการสื่อสารที่รอคอย
เขาเชื่อมสัญญาณทันที เสียงตะโกนคุ้นเคยของจื้อเซียนดังขึ้น
“เฮ้ เฒ่าไป๋ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพบกับเผ่าพันธุ์อื่นที่น่าสนใจงั้นหรือ?”
“อืม”
ไป๋ชิวหรานไม่แปลกใจเลยที่จื้อเซียนจะรู้เรื่องนี้ด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้มันได้พูดคุยกับมหาเทพหุ่นกล อีกทั้งยังออกสำรวจกับเซียนหงเฉินเป็นเวลานานเพื่อสำรวจอารยธรรมโบราณที่สาบสูญ แน่นอนว่าเซียนหงเฉินย่อมได้รับข่าวเรื่องหนอนห้วงแห่งความว่างเปล่าจากเล่อเจิ้นเทียน จึงไม่ผิดแปลกหากอีกฝ่ายจะบอกกล่าวกับจื้อเซียน
“คราวนี้ข้าไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าได้ยินว่าสิ่งเหล่านั้นสร้างความวุ่นวายให้กับทุกคน”
น้ำเสียงของจื้อเซียนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพียงแค่ฟังจากเสียงแล้ว ไป๋ชิวหรานก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่ใคร่รู้ของอีกฝ่าย
“ว่าไงเล่า พาข้าไปรับชมสิ่งนั้นบ้างไม่ได้หรือ?”
“มันไม่สำคัญ ข้ามีเหตุผลที่ดีสำหรับการกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า
“แล้วงานโบราณคดีเกี่ยวกับอารยธรรมที่สาบสูญของเจ้าเสร็จแล้วหรือ?”
“ก็ไม่เชิง แต่เรายังไม่ได้พบสิ่งใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เข้ามาทำลายอารยธรรมเหล่านี้จนสูญสิ้น
จื้อเซียนกล่าวตอบ
“ภายในสถานที่แห่งนี้ ข้าสามารถรับชมได้หลังจากขุดมันเสร็จสิ้น ส่วนแมลงเหล่านั้นมันเกิดและตายครั้งเดียว และข้ารู้ดีว่าเจ้าจะไม่ปล่อยพวกมันให้มีชีวิตรอดแน่นอน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงกล่าวถาม
“อ้อ ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ ไอ้แมลงพวกนั้นมัน… แค่ก ๆ ไม่มีอะไรหรอก ข้าคาดเดาได้ ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เอาเป็นว่าข้าฉลาดพอแล้วกัน”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“เช่นนั้นข้าจึงขอแยกตัวจากเซียนหงเฉิน ครั้งนี้ขอให้เจ้าพาข้าไปด้วย!”