ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 57 ค่าตอบแทนของซูเซียงเสวี่ย
บทที่ 57 ค่าตอบแทนของซูเซียงเสวี่ย
ถังรั่วเวยเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา ครั้นดั้นด้นไปได้เพียงครึ่งทางก่อนถึงยอดเขาชีซิง กลับเห็นว่ายอดเขาถล่มลงมาจนกินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่ง ช่วงพื้นดินเกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ อาจารย์ไป๋ชิวหรานของนางกำลังยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ข้างหลุมนั่น ด้านข้างยังมีบุรุษสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ ซึ่งไม่เคยพบเจอหน้าในสำนักมาก่อน
บุรุษสองคนยืนหันหลังให้นาง ราวกับว่าพวกเขากำลังมองบางสิ่งในมืออยู่
“ท่านอาจารย์”
ถังรั่วเวยร้องเรียกไป๋ชิวหราน
“หืม? อ้อ กลับมาแล้วรึรั่วเวย?”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แต่แล้วก็หันหน้ากลับไปตามเดิม
“ท่านผู้นี้คือ?”
ถังรั่วเวยเอียงคอมองชายในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์พลางเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิง
“เขามาจากสำนักอสูรสวรรค์ มีตำแหน่งเป็นผู้นำสำนักและผู้อาวุโสสูงสุด หวงฝู่เฟิง”
ไป๋ชิวหรานแนะนำฐานะของหวงฝู่เฟิงให้ถังรั่วเวยทราบพร้อมชี้ไปยังนางเพื่อแนะนำให้กับอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
“แม่สาวน้อยผู้นี้คือศิษย์สายตรงที่ข้าเพิ่งรับมาฝึกสอนเมื่อไม่นานมานี้”
“โอ้ ต้นไม้เหล็กในตำนานกำลังจะเบ่งบานแตกหน่อจากรุ่นสู่รุ่น”
หวงฝู่เฟิงหันไปกล่าวกับถังรั่วเวยด้วยความประหลาดใจ
“ยินดีที่ได้พบกันนะสาวน้อย”
‘สำนักอสูรสวรรค์…’
ถังรั่วเวยชำเลืองมองไป๋ชิวหรานอย่างหมดคำพูด
“ท่านเจ้าสำนักซูก็คนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักอสูรสวรรค์อีกคน… ท่านอาจารย์ ในฐานะผู้ฝึกตนสายธรรมะ ท่านสนิทสนมกับเหล่าผู้ฝึกตนสายมารมากเกินความจำเป็นไปหน่อยหรือไม่?”
“ข้ากับเจ้าหมอนี่ไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ข้าย่อมรู้ขอบเขตของตนเอง”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นลูบคาง ขณะเอ่ยตอบโดยไม่หันกลับมามอง
“พวกท่านกำลังดูสิ่งใดกันอยู่หรือ?”
ถังรั่วเวยชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ทันใดเห็นว่าม้วนกระดาษในมือของหวงฝู่เฟิงเป็นเนื้อความที่คัดลอกมาจากแผ่นหินจารึก จึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยก่อนเอ่ยถาม
“นี่ไม่ใช่ตัวอักษรโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หรอกหรือ?”
“เอ๋?”
คราวนี้เป็นตาของไป๋ชิวหรานบ้างที่ต้องประหลาดใจ
“รู้จักและจดจำมันได้เสียด้วย เจ้าเรียนรู้มันตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“ท่านลองเดาดูสิ”
ถังรั่วเวยกลอกตา
“เช่นนั้นขออาจารย์ทดสอบความรู้ของเจ้าหน่อย”
ไป๋ชิวหรานหยิบม้วนกระดาษมาคลี่กางออกต่อหน้าถังรั่วเวย
“เนื้อความซึ่งจารึกอยู่บนแผ่นหินนี้เขียนว่าอย่างไรบ้าง?”
“อืม… ตอนนี้ข้าทำความเข้าใจได้เพียงคำนามบางส่วนเท่านั้น”
ถังรั่วเวยหรี่ตามองอยู่นาน ก่อนจะชี้ไปยังเนื้อความในม้วนกระดาษพร้อมเอ่ยขึ้น
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘เทพเจ้าแห่งแผ่นดิน’ หรือเรียกอย่างง่ายว่า ‘เซียนปฐพี’ ส่วนเนื้อความที่เหลือจำต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำราอักษรโบราณ ภาษาในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นลึกลับมากทีเดียว พวกมันปรากฏในวัตถุเก่าแก่ บางคำพัฒนาสืบมากลายเป็นตัวอักขระที่ตรงตัว ข้าเพิ่งเริ่มเรียนรู้ได้ไม่นาน ทักษะยังตื้นเขิน…”
“อืม ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าอย่างชื่นชม
“สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้ว เนื้อความบนแผ่นหินจารึกนี้เป็นสิ่งที่ชวนสับสนพอสมควร ไวยากรณ์ที่เขียนในลักษณะนี้ค่อนข้างคลุมเครือ ข้าเองรู้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น ‘จางเลี่ยแห่งภูเขาสุ่ยยินปราบปรามเซียนปฐพี’ น่าจะแปลความได้ประมาณนี้”
“แล้วท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคำว่าเซียนปฐพี?”
หวงฝู่เฟิงโพล่งถาม
“ข้าคิดถึงสิ่งที่ไม่สู้ดีนัก”
“เซียนปฐพี ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนปฐพี ตรงตัวตามชื่อ เป็นเซียนที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“บันทึกทางประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ฝึกตนสายมารสามารถทะยานเข้าสู่โลกเซียน ไม่แน่ว่า… ระดับขั้นการฝึกตนสูงสุดของผู้ฝึกตนมาร คือเซียนปฐพีที่ว่านี้”
“แต่เหตุใดในตำราโบราณของสำนักอสูรสวรรค์เราไม่เคยบันทึกถึงการดำรงอยู่เช่นนี้มาก่อน?”
การแสดงออกของหวงฝู่เฟิงเริ่มเคร่งขรึมและจริงจังมากขึ้น
“ข้ารู้สึกว่าต้องมีบางอย่างที่แปลกประหลาดซ่อนอยู่ภายในเนื้อความนี้”
“เหลวไหลน่า ไม่เห็นหรือว่าในจารึกมีคำว่า ‘ปราบปราม’ เห็นได้ชัดว่ามีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าสามารถสังหารเซียนปฐพีได้”
ไป๋ชิวหรานตบไหล่หวงฝู่เฟิงพร้อมกล่าวต่อ
“ไม่แน่ว่าเขาอาจถูกสังหารจนกลายเป็นพืชพรรณไปนานแล้ว”
“ท่านอาจารย์”
ถังรั่วเวยเสนอ
“ท่านต้องการให้นำเนื้อความในแผ่นหินจารึกนี้ไปให้ผู้อาวุโสสี่ตรวจสอบหรือไม่? บางทีข้าอาจตรวจสอบหรือแปลเนื้อความทั้งหมดที่อยู่ในม้วนกระดาษนี้ก็ได้นา”
“สิ่งนี้ไม่ใช่สมบัติของข้า”
ไป๋ชิวหรานหันไปมองหวงฝู่เฟิง ซึ่งเขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“ไม่เป็นไร มอบให้บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงไว้ในครอบครอง แต่หลังจากแปลเนื้อความได้แล้ว ข้าขอเก็บสำเนาไว้ชุดหนึ่ง”
“เช่นนั้นเจ้านำไปเถิด”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปลูบศีรษะถังรั่วเวยก่อนยัดม้วนกระดาษนั้นใส่มือนาง
“ข้าขอต้อนรับผู้อาวุโสหวงฝู่เฟิงอย่างเป็นทางการ โปรดพักผ่อนให้สำราญเสียที่นี่”
…
ถังรั่วเวยรีบนำม้วนกระดาษดังกล่าวตรงไปยังหอตำราของสำนัก เพื่อให้ผู้อาวุโสสี่ร่วมแปลเนื้อความและตรวจสอบ ขณะที่ไป๋ชิวหรานพาหวงฝู่เฟิงกลับไปยังเรือนพำนักส่วนตัวแล้ว จึงหยิบเอาสุราสองไหออกมาจากห้องลับใต้ดิน แล้ววางไว้ตรงหน้าหวงฝู่เฟิง
“ฮ่าฮ่า! บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงล่วงรู้ถึงสิ่งที่หวงฝู่เฟิงต้องการ!”
หวงฝู่เฟิงถึงกับน้ำลายไหลด้วยความหิวโหย เขาดึงผนึกสีแดงที่ครอบอยู่บนปากไหสุราออก ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมของสุราเข้าไปเต็มปอด
“หืม? เหตุใดกลิ่นสุราไหนี้ถึงไม่เหมือนสุราที่หมักไว้นานแรมปี…”
“ไร้สาระ ข้าดื่มสุราที่หมักนานแรมปีหมดไปแล้ว นี่มีโอกาสได้ดื่มสุราทั้งที ยังมีหน้าเลือกมากอีกรึ? ตามหลักแล้วควรจะตัดหัวเจ้าออกแล้วใช้กะโหลกศีรษะเป็นจอกสุราเสียด้วยซ้ำ!”
แววตาของไป๋ชิวหรานพร่ามัว ไม่ต่างไปจากในวันที่ถังรั่วเวยฝึกฝนจนบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานเป็นครั้งแรก เขาถอนหายใจยาว
“เฮ้อ หวังเหลือเกินว่าการค้นพบของเจ้าในครั้งนี้จะช่วยให้ข้าบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานได้จริง”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง เหตุใดท่าทางจึงเหี้ยมโหดคล้ายกับผู้ฝึกตนสายมารยิ่งกว่าข้าเสียอีกเล่า”
หวงฝู่เฟิงลูบศีรษะตนเองแกรก ๆ รู้สึกเสียววาบ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกไหสุราขึ้นกรอกมันลงคอไป
“ฤทธิ์แรงทีเดียว! หอมมากด้วย!”
เขาวางไหสุราลงบนโต๊ะ พร้อมถอนหายใจอย่างพึงพอใจยิ่ง
“ตอนที่ข้ากลับมา แม่นางซูเซียงเสวี่ยก็ต้อนรับข้าด้วยการให้ร่ำสุราผูกมิตรของสำนักเหอฮวนตลอดทั้งคืน สุรานั้นรสชาติไม่เลวเลย แต่น่าเสียดาย รสชาตินุ่มนวลเกินไป ไม่เหมาะกับข้า”
“ทั้งชีวิตของเจ้า เกรงว่าคงมีเพียงกระบี่และสุราเท่านั้นที่สลักสำคัญ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมร่ำสุราไปพลาง
“ถูกต้อง ในชีวิตนี้ข้าอาจสูญเสียกระบี่ประจำกายไปได้ ทว่าไม่อาจขาดสุราไปได้อย่างเด็ดขาด! สุราเป็นประหนึ่งโลหิตที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงอยู่ ขอเพียงมีมัน… ไม่ต้องดื่มน้ำเลยก็ได้”
หวงฝู่เชิงยิ้มยียวนขณะชี้ไปยังไป๋ชิวหราน
“แต่ท่านบรรพชนเดาผิดแล้วล่ะ ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีเพียงกระบี่และสุราเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยผ่านการเคยแต่งงาน แม้ว่าภรรยาจะตายจากไปแล้ว ทว่าไม่ใช่คนสันโดษเปล่าเปลี่ยวเช่นท่าน ยังมีลูกหลานอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ”
“พรูด!”
ไป๋ชิวหรานหลุดพ่นสุราออกจากปากเมื่อได้ยินคำแทงใจดำ รีบยกแขนเสื้อเช็ดปากทันที สีหน้าเย็นเยียบประหนึ่งเหล็กกล้า
“ท่านบรรพชนอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยคิดบ้างหรือว่าดอกไม้อาจบานสะพรั่งบนต้นไม้ที่ตายแล้ว*[1]?”
หวงฝู่เฟิงพูดกลั้วหัวเราะ
“ระยะเวลาสามพันปีมานี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านไม่มีวันตายจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหันด้วยความชราหรือปัจจัยต่าง ๆ เหตุใดถึงไม่ลองใช้ชีวิตราวปุถุชนโลกดูบ้าง? ขอแนะนำบางอย่าง… ข้ารู้จักสถานที่หนึ่งในกู่โจว ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว”
“หอนางโลมหรอกรึ?”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองเขา
“เดาว่าเจ้ากำลังกล่าวถึงแดนเริงรมย์ไม่ผิดแน่ ดูเหมือนว่าสำนักอสูรสวรรค์ของเจ้าจะคอยช่วยเหลือสำนักเหอฮวนของซูเซียงเสวี่ยอยู่ไม่น้อย”
“เฮ้อ เกือบลืมไปเสียสนิท ว่าท่านกับเจ้าสำนักซูมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากทีเดียว”
หวงฝู่เฟิงลูบศีรษะตนเองอีกครั้ง
“แต่ข้าขอออกความเห็นหน่อยเถิด เหตุใดถึงไม่ลองเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเจ้าสำนักซูดูเล่า? สตรีที่งดงามที่สุดแห่งสำนักเหอฮวนก็คือนาง”
“ข้ามีเงาของสำนักเหอฮวนติดตามตัว”
ดวงตาของไป๋ชิวหรานเย็นชาราวตายด้านต่อความรู้สึกพรรค์นั้นไปแล้ว
“อีกอย่าง ข้าเป็นเพียงบุรุษผู้มีความสามารถธรรมดาสามัญ ไหนเลยจะควบม้าข้ามศีรษะใครได้…”
“อันที่จริงแล้ว ข้ากลับมองว่าท่านตัดสินความคิดของผู้อื่นด้วยมุมมองของตนเองมากเกินไป”
หวงฝู่เฟิงยังพยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป
“บางทีแม่นางซูเซียงเสวี่ยอาจมีความคิดอ่านที่แตกต่างไปจากที่ท่านคิดไว้โดยสิ้นเชิง”
“เฮ้อ ข้าว่าวันนี้เจ้าเมามายแล้วพูดพล่ามไร้สาระมากเป็นพิเศษ”
ไป๋ชิวหรานปรายตามองไปที่หวงฝู่เฟิงพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ให้ข้าคาดเดานะ แม่นางซูเซียงเสวี่ยให้ค่าตอบแทนอะไรแก่เจ้าบ้าง?”
ท่าทีของหวงฝู่เฟิงชะงักค้างไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวสารภาพ
“ข้านี้ช่างไม่แนบเนียบเอาเสียเลย ทำให้ท่านมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นทีคงไม่เหมาะกับการพูดโกหกจริง ๆ แม้ว่ารสชาติสุราผูกมิตรในคืนนั้นจะไม่ใช่รสชาติที่ชื่นชอบ ทว่าเป็นสุราชั้นเลิศอันดับหนึ่งของโลก ไหใบใหญ่เหล่านั้นเพียงพอแล้วที่จะใช้ประทังความกระหายไปได้นานสองนาน…”
[1] ดอกไม้อาจบานสะพรั่งบนต้นไม้ที่ตายแล้ว: อุปมาถึงความรู้สึกของคนที่พบเจอสถานการณ์บางอย่างจนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับต้นไม้ที่ยืนต้นตาย พอฤดูใบไม้ผลิมาเยือนกลับฟื้นชีวิตและออกดอกผลิบาน