ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 578 พิธีกรรมการล่าสัตว์
บทที่ 578 พิธีกรรมการล่าสัตว์
บทที่ 578 พิธีกรรมการล่าสัตว์
ยักษากลุ่มนี้เริ่มพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ และพวกมันก็มีจิตใจที่รักพวกพ้องอย่างยิ่ง แม้แต่ทั่วอิ้นปี่ที่มีใจดีแต่อ้วนเทอะทะ ก็ไม่ถูกเพื่อนรังแกหรือทิ้งให้โดดเดี่ยว
เป็นอย่างที่ทั่วอิ้นปี่กล่าวไว้ก่อนหน้า ยักษาทั้งหมดล้วนแต่เข้าร่วมกับสหายในเผ่าพันธุ์ได้ง่ายดาย และชีวิตในเผ่าก็ยังมากด้วยอิสระ
อย่างไรก็ตาม พวกมันกลับไม่เป็นมิตรกับชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น ไป๋ชิวหรานได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้งในระหว่างการสนทนาของสัตว์ยักเหล่านี้ หากพวกมันเริ่มหิว มันจะเลือกโลกวัตถุที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ แล้วกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว พวกมันชอบกินโลกวัตถุที่มีอารยธรรมก้าวหน้าและมีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอาศัยอยู่
วิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดมักจะร่ำไห้ก่อนที่อารยธรรมของพวกเขาจะล่มสลาย สิ่งนี้เป็นอาหารชั้นเลิศของยักษา เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดเห็นใจเหล่าอาหารพวกนี้
“โชคดีแล้วที่มันเคลื่อนไหวอยู่ภายในมหาสมุทรแห่งความว่างเปล่าเท่านั้น”
เมื่อมองพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ถังรั่วเวยที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแท่นวิญญาณหุ่นกลเซียนยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวคำ
“ไม่ว่าพวกมันจะไปที่ใดย่อมเกิดหายนะทั้งสิ้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแมลงห้วงความว่างเปล่าจึงหวาดกลัวพวกมัน ไม่แปลกใจเลยที่อารยธรรมโบราณภายในเขตแดนจิตสำนึกจึงต้องสร้างปราการป้องกันตนเอง หากพวกมันสิบสามตัวนี้บุกไปพร้อมกัน แม้แต่แดนเซียนในปัจจุบันก็ยากจะรับมือ ทั้งอาจถูกทำลายลงในพริบตาด้วยซ้ำ”
เกี่ยวกับคำพูดของถังรั่วเวย ไป๋ชิวหรานไม่อยากจะยอมรับนัก แต่หลังจากมองไปรอบ ๆ แล้ว ไม่มียักษาตัวไหนแข็งแกร่งพอจะต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเขาได้ แม้แต่ผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าก็ยังอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อย แต่หากพวกมันสิบสามตัวร่วมมือกัน…
หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าแดนเซียน วิถีสวรรค์ และมหาเทพหุ่นกลจะร่วมมือกัน ก็คงไม่อาจต้านทานสิ่งเหล่านี้ได้
ส่วนระบอบการปกครองของนครสรวงสวรรค์นั้นไม่ต้องคิด หากยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต้องการจัดการ พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะต่อต้านหรือแสดงพลังของตนด้วยซ้ำ
“อู่เล่อ”
ไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวยกำลังคิดหาวิธีอย่างเคร่งเครียด ขณะนั้นเกิดเสียงเรียกเขาดังขึ้นจากด้านข้าง
เขาบังคับหุ่นจักรกลให้ยกศีรษะขึ้น และพบว่าสิ่งมีชีวิตสตรีนามว่าเฟยอินอยู่ด้านข้างกำลังโบกมือให้เขา
“มีอะไรงั้นหรือ?”
หุ่นกลเซียนยักษ์หันกลับมาถามพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นจิตสำนึกออกไป
“ผู้เฒ่าขอให้ข้าเล่าเรื่องราวของเผ่าให้เจ้าฟัง”
เฟยอินยิ้มพร้อมกล่าวคำ
“แม้ตอนนี้จะช้าไปสักหน่อย มันดีแล้วที่เจ้านั่งพูดคุยกับคนอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์ แต่ข้าคิดว่าอย่างไรการบอกกล่าวกับเจ้ามันก็ยังสำคัญมากเช่นกัน… เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าข้ายินดีแล้ว”
ไป๋ชิวหรานกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้คนในแดนเซียนระมัดระวังเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เมื่อเขากลับไป
“เช่นนั้นมากับข้า”
เฟยอินชำเลืองมองคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ตรงนี้เสียงดังเกินไป”
หุ่นกลเซียนยักษ์เดินออกมา และยักษาพาเขามาที่ชายหาดเงียบสงบตรงมุมเกาะ เมื่อมาถึงเฟยอินหยุดฝีเท้าก่อนจะกล่าวว่า
“เจ้าไม่เคยทราบอะไรมาก่อน เอาล่ะงั้นข้าจะเริ่มเล่าตั้งแต่… อืม ข้าขอบอกกล่าวถึงสกุลของข้าก่อน สกุลของข้าคือมู่เจ่อ”
“มู่เจ่อ?”
“ใช่ เรากินหญ้าที่กระจัดกระจายอยู่ในความว่างเปล่า พวกมันเติบโตอย่างอิสระและเป็นอาหารของเรา นั่นคือที่มาของมู่เจ่อ”
ใบหน้าของเฟยอินเผยความภาคภูมิใจขณะกล่าวคำ
“เผ่าพันธุ์ของเรากินอาหารจากโลกวัตถุต่าง ๆ และเพราะร่างกายของเรามีขนาดใหญ่เกินไป เราจึงต้องใช้พลังงานจำนวนมาก วงจรการกินของเราจึงช้ากว่าสิ่งมีชีวิตในโลกวัตถุเหล่านั้น เมื่อพลังงานไม่เพียงพอ กำลังของพวกเราจะอ่อนแอจนไม่สามารถพยุงร่างกายใหญ่โตได้ และหลังจากนั้นพวกเราจะตาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากที่เจ้าสามารถอยู่รอดในสายธารแห่งความว่างเปล่าซึ่งขาดแคลนอาหาร อย่างไรแล้วเจ้าไม่สมควรออกจากมหาสมุทรแห่งความว่างเปล่าในอนาคต แม้ว่าทุกเส้นทางจะมีโลกวัตถุมากมาย แต่ความหนาแน่นของโลกวัตถุวัตถุในสถานที่แห่งนี้นับว่ามากที่สุด แม้แต่สายธารแห่งความว่างเปล่าเรายังไปสู่ที่นั่นเพียงเพราะพิธีล่าสัตว์เท่านั้น”
“พิธีล่าสัตว์?”
ไป๋ชิวหรานหยุดชั่วคราวก่อนจะกล่าวถาม
“ข้าอยากทราบว่าพิธีการล่าสัตว์ที่พวกเจ้ากล่าวซ้ำ ๆ นั้นคืออะไร? ดูเหมือนว่ามันจะสำคัญมากด้วยใช่หรือไม่?”
“พิธีกรรมการล่าสัตว์เป็นกิจกรรมที่สำคัญมากกับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา และเป็นธรรมเนียมที่ราชาจอมละโมบทิ้งเอาไว้”
เฟยอินตอบกลับ
“ราชาจอมละโมบ?”
ไป๋ชิวหรานตื่นตระหนกเล็กน้อย
“เขาเป็นคนบาปของเผ่าพันธุ์ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงต้องสืบทอดธรรมเนียมที่เขาทิ้งเอาไว้ด้วยเล่า?
“อู่เล่อ มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
เฟยอินยิ้มพร้อมกล่าวต่อ
“แม้ราชาจอมละโมบจะเป็นผู้ร้ายที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของเราต้องเสื่อมถอย แต่เราก็ไม่ควรปฏิเสธการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมของราชาจอมละโมบ เขาเป็นคนทะเยอทะยาน เป็นผู้นำที่ชาญฉลาด คำสั่งมากมายที่เขาทิ้งไว้นั้นถูกต้องทั้งสิ้น และพิธีกรรมการล่าสัตว์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน”
“แล้วพิธีกรรมการล่าสัตว์มันคืออะไรกันแน่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม
“อ่า… พิธีกรรมการล่าสัตว์เป็นพิธีสำหรับเผ่าพันธุ์ของเรา ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง ทั้งครั้งที่พายุพลังงานพัดผ่านในมหาสมุทรแห่งความว่างเปล่า ราชาของเผ่าจะเรียกทั้งเผ่าพันธุ์มารวมตัวแล้วล่องไปตามสายธารแห่งความว่างเปล่า ขึ้นไปด้านบนเพื่อกวาดล้างอารยธรรมทั้งหมดที่พบเจอ เพราะสิ่งนั้นอาจเป็นภัยคุกคามพวกเราในอนาคต! หลังจากที่ไปถึงจุดบรรจบของห้วงความว่างเปล่า เราก็จะล่องลงมาตามสายธารแห่งความว่างเปล่าอีกสายหนึ่งเพื่อกลับสู่มหาสมุทรแห่งความว่างเปล่านี้!”
เฟยอินกล่าวคำอธิบาย
“ในเวลานี้เผ่าพันธุ์ของข้ามีเพียงสิบสามคนเท่านั้น ข้าคิดว่าการระมัดระวังเช่นนี้สมควรถูกสืบทอดต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ผู้เฒ่านำพวกเราออกล่า เราได้พบกับอารยธรรมที่มากด้วยอุดมการณ์แล้วยังฉลาดมากอยู่บนสายธารแห่งความว่างเปล่า ในเวลานั้นอารยธรรมเหล่านั้นล้วนแต่สร้างปัญหาให้กับพวกเรามาก ในท้ายที่สุด… พวกเขาสร้างป้อมปราการและปิดผนึกตนเองไว้ด้านในอย่างแน่นหนา อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าของเราเห็นว่าสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่ไม่สมควรมีอยู่ปรากฏขึ้นในดินแดนของพวกเขา เราจึงคิดว่าอารยธรรมเหล่านั้นคงจะตายตกไปเองจากสัตว์ประหลาดพวกนั้น ดังนั้นเราจึงไม่บุกเข้าโจมตีและเดินทางไปตามสายธารแห่งความว่างเปล่า เวลานี้ข้ายังไม่ทราบเลยว่าอารยธรรมเหล่านั้นถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดแห่งจิตสำนึกที่พวกเขาเลี้ยงไว้เองหรือไม่”
เฟยอินยังคงกล่าวต่อ แต่ไป๋ชิวหรานหยุดและนึกถึง ‘อารยธรรมที่รุ่งโรจน์’ ของเผ่าพันธุ์ตนเอง เขามองถังรั่วเวย และนางก็มองกลับมาที่เขาด้วยเช่นกัน
“คราวนี้เราจึงต้องหาวิธีรับมือพิธีกรรมการล่าสัตว์”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ยักษาเหล่านี้จะมองว่าแดนเซียนคืออาหารอย่างแน่นอน เราต้องส่งข่าวนี้กลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อให้พวกเขาเตรียมพร้อม!!”