ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 58 โลกเซียน
บทที่ 58 โลกเซียน
หลังจากที่หวงฝู่เฟิงเปิดเผยความจริงออกมา ไป๋ชิวหรานก็ ‘เชิญ’ เขาออกจากสำนักกระบี่ชิงหมิง
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักอสูรสวรรค์ยังทำท่าสับสนด้วยไม่รู้ว่าตนมีความผิดใด หลังจากถูกสำนักกระบี่ชิงหมิงปิดประตูไล่แขกแล้ว จึงชักกระบี่ออกมาแล้ววิ่งโร่ไปยังกองทัพเทพยุทธ์ทันที จากข่าวที่ได้ยินเมื่อหลายวันมานี้ หวงฝู่เฟิงน่าจะเดินสายไปเยี่ยมเยียนครบทั้งห้าสำนักใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรม ละเว้นไว้เพียงหอหยกแห่งเซียนตู ทั้งยังท้าประลองพวกเขาดังเช่นที่เคยทำกับสำนักกระบี่ชิงหมิง
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้ลงมือ เจ้าสำนักจากทุกสำนักล้วนพ่ายแพ้ให้กับเขา จนสำนักอสูรสวรรค์มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่น้อยภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ไม่นานผู้คนพบว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อยังคงเดินไปเดินมาอยู่ภายในสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างปกติราวไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น ดังนั้นชื่อเสียงของสำนักกระบี่ชิงหมิงจึงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะศูนย์กลางกระแสน้ำวนของเรื่องใหญ่ดังกล่าว หวงฝู่เฟิงกลับไม่แยแสต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด ไป๋ชิวหรานคาดเดาว่าด้วยบุคลิกของเขาแล้วอาจเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น คงตื่นเต้นกับความสำเร็จในครั้งนี้ถึงได้หาคนร่วมประลองไปทุกที่
และเหตุผลที่หวงฝู่เฟิงไม่ไปท้าประลองกับคนของหอหยกแห่งเซียนตู นั่นก็เพราะเขาและผู้อาวุโสของหอหยกแห่งเซียนตูไม่ถูกโรคกัน
สำหรับสองฟากฝั่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันในโลกแห่งการฝึกตน ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักพันธมิตรผู้ฝึกตนสายมารกับสำนักพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรมะนั้นค่อนข้างซับซ้อนมากทีเดียว ไม่นับรวมถึงสำนักเทพโลหิตที่ไม่มีผู้ใดผูกมิตรด้วย ทั้งยังกลายเป็นเศษฝุ่นในหน้าประวัติศาสตร์ไปแล้ว สำนักอื่นแม้มีอุดมการณ์ตรงข้ามแต่กลับมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
ยกตัวอย่างเช่นสำนักกระบี่ชิงหมิง เนื่องจากความสนิทชิดเชื้อระหว่างไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสำนักเหอฮวน ศิษย์ระหว่างทั้งสองสำนักต่างไปมาหาสู่กัน ไม่เป็นศัตรูต่อกันนอกจากมีเหตุจำเป็น ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับสำนักอสูรสวรรค์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่า เนื่องจากไป๋ชิวหรานและผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงต่างชื่นชอบในนิสัยที่ตรงไปตรงมาของหวงฝู่เฟิง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกับจี้หลิงอวิ๋น ประมุขแห่งสำนักอสูรสวรรค์คนปัจจุบันนั้นแตกต่างกันลิบลับ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์ และศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงจึงไม่ชัดเจนนัก
สำนักวิญญาณหยินลึกลับแปลกประหลาดเกินไป บรรดาผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิง จึงไม่ใส่ใจจะผูกมิตรด้วยมากนัก มีเพียงไป๋ชิวหรานเท่านั้นที่ติดต่อกับผู้มีอำนาจในระดับสูงของสำนัก ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ทั้งสองนิกายจึงห่างเหินกันพอสมควร ทว่าสำนักวิญญาณหยินกลับมีความสัมพันธ์อันดีกับหอหยกแห่งเซียนตู เพราะทั้งสองสำนักมีการติดต่อค้าขายซึ่งกันและกัน
ในบรรดาสองฝ่ายหลัก สำนักพุทธเทียนเซิงกับสำนักเหอฮวนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการทูตมากที่สุด ด้วยบุคลิกที่อ่อนโยนของผู้นำสำนักพุทธเทียนเซิง อีกทั้งความงดงามประณีตจนแทบหยุดหายใจของเจ้าสำนักซูเซียงเสวี่ย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักภายในฝ่ายตนเองหรือฝ่ายตรงข้าม แม้แต่กับมนุษย์ธรรมดา รวมถึงสำนักผู้ฝึกตนขนาดเล็กอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสำนักนั้นอธิบายได้ว่าต่างเย็นชาต่อกัน
ศิษย์สำนักพุทธเทียนเซิงต่างมุ่งความสนใจไปที่การยึดหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ปราศจากตัณหา พวกเขาเป็นกำลังสำคัญของผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะที่ต่อต้านภาพลักษณ์ภายนอกอันเต็มไปด้วยความอนาจารยั่วยวนของศิษย์ของสำนักเหอฮวน แม้ไม่ต้องคาดเดา ทุกคนก็พอจะเข้าใจว่าทั้งสองสำนักต่างเป็นปรปักษ์ต่อกันโดยสัญชาตญาณ
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักในโลกแห่งการฝึกตนจึงไม่ใช่ดำหรือขาวแต่ซับซ้อนกว่านั้นมาก หลายปีก่อนทั้งสองฝ่ายต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจร่วมครองโลกกันได้ ต่อสู้ฟาดฟันกันมาหลายปี แต่จนถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรฝ่ายมารและพันธมิตรฝ่ายธรรมะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่สมดุลกันอย่างสันโดษ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูจากภายนอกเช่นเผ่ามารจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน พวกเขาจะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อต่อสู้
…
นับตั้งแต่หวงฝู่เฟิงกลับมา เขาได้ท้าประลองสำนักใหญ่ในเขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ขณะเดียวกันม้วนกระดาษซึ่งมีเนื้อหาจากแผ่นหินจารึกได้รับการแปลอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ภายใต้การดำเนินงานของผู้อาวุโสสี่ฝูอวิ๋นจื่อ
เนื่องจากไป๋ชิวหรานเป็นผู้มอบหมายงานนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นฝูอวิ๋นจื่อจึงทำงานอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไปเพียงหนึ่งสัปดาห์กว่าเท่านั้นก็สามารถแปลความจากเนื้อหาบนแผ่นหินจารึกอันยาวเหยียดจนเสร็จสิ้น
เนื้อหาในแผ่นหินจารึก แปลความได้ดังต่อไปนี้…
‘ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สี่หมื่นสามพันหนึ่งร้อยสามสิบห้าของปฏิทินสวรรค์ เซียนปฐพีจางเลี่ยยกทัพก่อความวุ่นวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า นำผู้ฝึกตนสามพันคน นักรบห้าหมื่นนาย และชาวบ้านชั้นต่ำกว่าสามแสนคนอพยพมาตั้งรกร้างอยู่บนภูเขาสุ่ยอิน ตั้งตนเป็นอ๋องเลี่ย ในฤดูหนาวปีเดียวกัน องค์จักรพรรดิเชิ่งอู่ชิงได้พระราชทานคำสั่งแต่งตั้งแม่ทัพม้าจั่วเซียวฉีเป็นจอมพลใหญ่ นำกำลังทหารจำนวนสามหมื่นนาย ออกเดินทางไปปราบกบฏ จนฤดูใบไม้ผลิปีที่สี่หมื่นสามพันหนึ่งร้อยสามสิบแปดของปฏิทินสวรรค์ เซียนปฐพีจางเลี่ยทำการซุ่มโจมตี แม่ทัพม้าจั่วเซียวฉีจึงสังหารจางเลี่ยจนสิ้นชีพลงที่ภูเขาสุ่ยอินแห่งนั้น เพื่อระลึกถึงความดีความชอบของแม่ทัพจั่ว จักรพรรดิเชิ่งอู่ชิงจึงทรงตั้งแผ่นหินจารึกนี้ไว้ที่ภูเขาสุ่ยอิน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและวีรกรรมอันน่าจดจำ จารึกชื่อเสียงเรียงนาม อีกทั้งเชิดชูที่ปราบกบฏได้สำเร็จ ท่านแม่ทัพจั่วเซียวฉีจึงเป็นผู้มากบารมีซึ่งทรงพลังยิ่งในยุทธภพ รวมถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของจักรพรรดิเชิ่งหวู่ชิง ผู้คนไม่ควรหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คนรุ่นหลังจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์จักรพรรดิ’
“นี่เป็นเพียงจารึกจดหมายเหตุอย่างนั้นหรือ?”
หลังไป๋ชิวหรานอ่านจบแล้ว ให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“น่าจะทำนองนั้น”
ถังรั่วเวยส่งม้วนกระดาษให้เขาอีกม้วนหนึ่ง
“ยังมีเนื้อความอีกช่วงหนึ่งซึ่งเพิ่มขึ้นมา ผู้ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ อาจเป็นคนที่สลักข้อความบนแผ่นหินจารึกนี้ในภายหลัง”
ไป๋ชิวหรานรับมันมาก่อนจะเริ่มต้นอ่าน ทว่ามันเขียนไว้เพียงประโยคเดียว
‘หากไม่สังหารจักรพรรดิเชิ่งอู่ชิงซะ ประชาชนจะมีชีวิตอย่างน่าอนาถ!’
“ดูเหมือนชื่อเสียงของจักรพรรดิผู้นี้คงไม่สู้ดีเท่าไรนัก”
ถังรั่วเวยและไป๋ชิวหรานก้มอ่านเนื้อหาในม้วนกระดาษพลางส่ายหน้า
“เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยาก สายตาของผู้ที่จงรักภักดีมักมองเห็นเพียงคุณงามความดีที่สร้าง ขณะที่สายตาของศัตรู แน่นอนว่ามองเห็นเพียงเรื่องเลวร้ายเท่านั้น พวกเราไม่เคยผ่านประสบการณ์ในยุคสมัยนั้นมาก่อน ไม่อาจตัดสินเรื่องดังกล่าวว่าผู้ใดถูกหรือผิดได้ตามอำเภอใจ”
ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะ
“แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่า ก่อนสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าปีศาจ สถานการณ์ในเขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเป็นอย่างไร ซึ่งควรจะเป็นราชวงศ์เซียนที่ดำรงอำนาจอย่างเป็นปึกแผ่นและมั่นคง เช่นเดียวกับเผ่าปีศาจในปัจจุบัน”
“แต่พวกเรายังไม่ล่วงรู้ชัดเจนว่าเซียนปฐพีคืออะไรแน่ แล้วผู้ฝึกตนธรรมดากลายมาเป็นเซียนปฐพีได้อย่างไร”
ถังรั่วเวยกล่าวด้วยความเสียดาย
“บางทีอาจยังมีเบาะแสอื่น ๆ แผ่นหินจารึกนั้นตั้งอยู่ข้างหุบเขาต้วนหุนในดินแดนรกร้าง เช่นนั้นบริเวณอื่นทั้งสองด้านของหุบเขาต้วนหุนอาจปรากฏซากปรักหักพังของยุคก่อนเช่นเดียวกัน”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“แจ้งเจวี๋ยอวิ๋นจื่อให้ทราบด้วย ว่าข้าจะไปพบหวงฝู่เฟิงสักหน่อย”
“อาจารย์ ท่านจะลงจากยอดเขาอีกแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วน่ะซี”
ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะนางแผ่วเบา
“นี่อาจเป็นเบาะแสหลักเพื่อที่ข้าจะมีโอกาสบรรลุระดับการฝึกตนผ่านไปได้อีกขั้น”
“ก็ได้”
ถังรั่วเวยไม่เต็มใจเท่าไรนัก ถึงกระนั้นก็กล่าวอวยพรตามมารยาท
“เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”
นางตระหนักดีถึงความแตกต่างระหว่างทักษะของตนกับไป๋ชิวหราน การไปสำรวจดินแดนรกร้างครั้งนี้ เห็นทีคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก หากติดตามไปอาจเป็นการถ่วงเวลาจนเกิดอุปสรรคเสียเปล่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตอนนี้คือการเพียรฝึกตนให้มากในช่วงเวลานี้ เพื่อที่ในอนาคตจะช่วยเหลือเขาได้บ้าง
…
เมื่อไป๋ชิวหรานตามไปพบหวงฝู่เฟิง เขากำลังร่ำสุราอยู่กับสหายคนหนึ่งในชิงโจว ซึ่งมีพรมแดนติดกันกับแคว้นกู่โจว
สหายผู้นี้ ไป๋ชิวหรานเองรู้จักเช่นกัน ‘เยว่เชียนเหลียน’ ประมุขแห่งโรงหลอมเหล็กแห่งสำนักหลอมเหล็กเทียนอวี้ ท่านปู่ของเขาเป็นคนที่เคยสอนเคล็ดวิชาการหลอมอาวุธให้กับไป๋ชิวหรานมาก่อน ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดอยู่พอสมควร เขาเคยใช้เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเป็นเดิมพัน จนได้รับรางวัลเป็นกระบี่เหล็กชั้นดีไม่จำกัดจำนวนติดต่อกันถึงสามร้อยปี!
การคบหาระหว่างหวงฝู่เฟิงและเขาเริ่มต้นจากพี่ชายคนโตของเยว่เชียนเหลียน ‘เยว่เชียนเหริน’ ตามหลักแล้วผู้ที่เกิดในสำนักที่ชำนาญด้านช่างประดิษฐ์ควรจะเป็นทายาทสายตรงของเจ้าสำนัก แต่กลับไม่สนใจการหลอมอาวุธแต่อย่างใด ทั้งยังให้ความสำคัญกับการใช้ศาสตราแห่งเต๋ามากกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของกระบวนกระบี่ที่มีความโดดเด่นไม่น้อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขากับหวงฝู่เฟิงเป็นสหายสนิทสนมกัน
จากมุมมองของเขาแล้ว โรงหลอมเหล็กเทียนอวี้เป็นสำนักระดับสูงของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรม ความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ทว่าสำนักดังกล่าวรับงานจากทุกฝ่าย ซึ่งจะปฏิบัติตามคำสั่งการหลอมอาวุธจากสำนักฝ่ายมารเท่าที่จำเป็น เช่น กระบี่ทลายเทพของหวงฝู่เฟิง ก็หลอมขึ้นด้วยฝีมือของเยว่เชียนเหลียน ทว่าเหตุผลที่โรงหลอมเหล็กเทียนอวี้กล้าดำรงอยู่อย่างหยิ่งยโสเช่นนี้ เนื่องจากพี่ชายเยว่เชียนเหรินผู้แข็งแกร่งหายตัวไป
ถึงกระนั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าหลอมอาวุธให้กับเหล่าผู้ฝึกตนที่มีนิสัยชั่วร้าย เพราะยังมีผู้อาวุโสคุมกฎจากกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายมารคอยควบคุมอยู่
ไป๋ชิวหรานพอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังดื่มสุราชั้นดีจากสำนักเหอฮวนที่ได้มาในคืนนั้น เยว่เชียนเหลียนกำลังเมาได้ที่กระทั่งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ล้มฟุบอยู่บนก้อนหิน เอาแต่พูดจาเหลวไหล ส่วนใบหน้าของหวงฝู่เฟิงซับสีแดงเรื่อเล็กน้อย เขานั่งอยู่อีกฝั่งยังคงไม่หยุดร่ำสุรา เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานมาพบตนถึงที่ จึงทักทายพร้อมเอ่ยถามว่า
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง เนื้อความในแผ่นหินจารึกได้รับการแปลแล้วหรือ?”
“เจ้าดูเอาเองเถิด”
ไป๋ชิวหรานโยนม้วนกระดาษส่งให้หวงฝู่เฟิง
หวงฝู่เฟิงรับมันมาอ่านอย่างละเอียด เขาไม่ใช่คนโง่เขลา จึงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าประเด็นสำคัญในเนื้อหาถูกบิดเบือนไปเล็กน้อย
“นี่…”
เขาเก็บม้วนกระดาษลงตามเดิม ก่อนจะเงยหน้ามองไป๋ชิวหราน
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงต้องการให้ข้าเป็นผู้นำทางใช่หรือไม่?”
“ตามที่เจ้าสันนิษฐาน”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“ไปกันเถอะ ไปสำรวจดินแดนรกร้างกัน”