ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 599 สมรภูมิสุดท้าย
บทที่ 599 สมรภูมิสุดท้าย
บทที่ 599 สมรภูมิสุดท้าย
ด้านนอกของโลกแห่งเซียน กองเรือภูตผีกำลังมุ่งหน้าสู่โลกแห่งเซียนจากห้วงแห่งความว่างเปล่า
หัวเรือภูตผีเต็มไปด้วยเหล่าผีสางที่ดูคล้ายจะอ่อนแอ รอบตัวยังมีภูตผีที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าลอยเวียนไปรอบกาย
เมื่อเรือภูตผีเหล่านี้แล่นไปในความว่างเปล่า ปราณหยินที่เป็นเอกลักษณ์ของยมโลกถูกขับออกผ่านเตาหลอมภายในเรือ จึงเกิดเป็นเปลวเพลิงสีเขียวลุกไหม้อยู่ใต้ลำเรือ
เรือภูตผีเหล่านี้กำลังแล่นอยู่ในความว่างเปล่า หากมองจากระยะไกล เส้นทางที่พวกเขาเดินทางมาจะถูกขีดไว้ด้วยเพลิงสีเขียวที่ยังคงเจือจาง
ในบรรดาเรือภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ มีอาจารย์อสูรยักษ์ตนหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตมีแม่น้ำยมโลกพาดผ่านคล้ายเส้นเลือดใหญ่ มือซ้ายถือกระบองสีทองมากด้วยหนามแหลมคม และมือขวาถือกงล้อศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ราวกับมันกำลังปกป้องกองเรือภูตผีเหล่านี้
กองเรือมุ่งหน้าสู่แดนเซียน หากมองในคราวแรกอาจเข้าใจผิดได้ว่า… ยมโลกกำลังบุกโจมตีแดนเซียน
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่กรณีนั้น และแดนเซียนได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว
หลังจากกองเรือภูตผีเข้ามาใกล้ กำแพงกาลเวลาของแดนเซียนก็ถูกเปิดออก ปราการลึกลับที่ปรากฏในความว่างเปล่าแหวกทางคล้ายกับผ้าม่าน… เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
ด้านในคือกองเรือด้วยเช่นกัน ขนาดยิ่งใหญ่กว่ากองเรือภูตผี แต่รูปแบบของกองเรือนี้แตกต่างจากกองเรือภูตผีโดยสิ้นเชิง เรือทุกลำเปล่งประกายรัศมีสีทองอร่าม ราวกับเซียนลงมาจุติสู่โลก และในบรรดากองเรือเหล่านี้มีอาจารย์อสูรที่หลากหลายในรูปแบบของทวยเทพและผู้ฝึกตน รวมไปถึงยังมีหุ่นกลเซียนยักษ์ทองคำด้วย
ณ ใจกลางของกองยานนี้มีหุ่นกลเซียนยักษ์สองตนล้อมรอบกองเรือ หุ่นกลเซียนยักษ์ตนแรกดูคล้ายกับสัตว์ร้ายในตำนาน ส่วนหุ่นกลเซียนยักษ์อีกตนเปรียบได้กับแม่ทัพผู้มากความสามารถ มันนั่งอยู่บนหลังม้าสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับหุ่นกลเซียนยักษ์ยักษ์เนรมิตที่พลีชีพในต้นกำเนิดห้วงแห่งความว่างเปล่าแล้ว นับว่ามันดูสูงส่งยิ่งกว่า ขวานรบยาวในมือขวา และมีธนูยักษ์พาดอยู่ที่ไหล่ แล้วยังมีกระบี่ห้อยอยู่ที่เอว …ทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
หุ่นกลเซียนทั้งสองนี้เป็นหุ่นกลเซียนยักษ์สองตนที่แดนเซียนเร่งการผลิต โดยใช้สิ่งที่ไป๋ชิวหรานนำมาให้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของพวกมัน
ไป๋ชิวหรานอยู่ในชุดของจักรพรรดิภูตผี และเจียงหลานอยู่ในชุดจักรพรรดินี นำกองเรือภูตผีเข้าร่วมกับกองเรือรบของแดนเซียน เมื่อเรือภูตผีเทียบท่า ผู้เข้าร่วมจากแดนเซียนทั้งหมด รวมถึงเล่อเจิ้นเทียนจึงก้าวขาออกมาทักทาย
ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองและพบว่าไป๋ลี่อยู่ที่นี่ด้วย หลังจากผ่านพ้นสังสารวัฏแห่งการเกิดและตายมาใหม่ ฐานการฝึกฝนในปัจจุบันของเขาสามารถทะลวงผ่านพันธนาการในอดีตได้แล้ว หลังจากเข้าสู่ขั้นซากปรักหักพังหวนคืนแล้ว ทั้งเซียนหงเฉิน เล่อเจิ้นเทียน และคนอื่น ๆ จึงเลื่อนระดับเข้าสู่ขอบเขตซากปรักหักพังหวนคืน
มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตธาราสุญตาที่หาพบได้ยากพอ ๆ กับไข่มุกบนชายหาด แม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกตนชั้นสูงนับพันที่ถูกคัดเลือกจากแดนเซียน ยังมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เข้าสู่ขอบเขตธาราสุญตาได้ หากไม่นับรวมเจียงหลานแล้ว … จึงกล่าวได้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ
ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คนผู้นั้นไม่ใช่ไป๋ลี่ หลีจิ่นเหยา ซูเซียงเสวี่ย โม่เฉิน หรือคนอื่น ๆ แต่เขาคือจักรพรรดิเซียนซู่หัว!
หลังจากชายผู้นี้เข้าสู่สังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด เขาประสบแต่ความโชคร้าย แต่เวลานั้นเขากลับค้นพบวิธีอื่นและทำงานอย่างหนัก สุดท้ายจึงสามารถแซงหน้าอาจารย์และอาจารย์ปู่ไปโดยไม่คาดคิด ด้วยพรสวรรค์ยอดแย่กลับกลายเป็นบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตการฝึกฝน
“เจ้าสบายดีนะ”
หลังจากได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไป๋ชิวหรานพลันตบไหล่จักรพรรดิเซียนซู่หัวพร้อมกล่าวชมเชย
“ด้วยพรสวรรค์ที่เลวร้าย แต่เมื่อทำงานหนักจึงแปรเปลี่ยนโชคชะตาได้ ไม่แปลกใจเลยที่เจิ้นเทียนกับโม่เฉินยกย่องให้เจ้าเป็นต้นแบบของพวกเขา ในฐานะอาวุโส แม้เราจะไม่พบกันบ่อยนัก แต่ข้าก็รู้สึกภูมิใจในตัวเจ้ายิ่ง”
“ขอบคุณอาวุโสสำหรับคำชมเชยนี้”
จักรพรรดิเซียนซู่หัวจดจำอดีตทั้งหมดได้แล้ว และเวลานี้มีโหรวเยว่หมิงอยู่ข้างกาย เขาโค้งคำนับไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวคำ
“บุคคลที่ข้าชื่นชมที่สุดคืออาวุโสแล้ว ทุกครั้งที่ข้าได้ยินว่าอาวุโสติดอยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐาน แต่ท่านก็ยังยืนหยัดพยายามอย่างไม่เคยสิ้นหวัง ศิษย์ผู้นี้จึงเอาเป็นเยี่ยงอย่างและรู้สึกชื่นชมท่านจากใจจริง”
“โอ้ อาจารย์ของเจ้าคงจะบอกเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเมื่อปากของเขาว่าง”
ไป๋ชิวหรานเย้ยหยันก่อนจะเหลือบมองไป๋ลี่ที่ยืนท่ามกลางนางสนมของตนเอง เวลานี้ไป๋ลี่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง จึงรีบหลบซ่อนอยู่ด้านหลังนางสนมของตน
ไป๋ชิวหรานไม่สนใจคนผู้นี้ เขาเดินเข้าไปหาสตรีในครอบครัวของตนเอง ทั้งหลีจิ่นเหยาและซูเซียงเสวี่ยฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ทั้งสองก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน เวลานี้ทั้งสองเข้าสู่ขอบเขตซากปรักหักพังหวนคืนแล้ว ส่วนถังรั่วเวย ไม่ทราบว่านางฝึกฝนมากเพียงใด แต่คราวนี้มีสังสารวัฏควบแน่นภายในคฤหาสน์สีม่วง แต่ระดับการฝึกฝนของนางยังไม่ถึงขั้นเซียน
ทันทีที่ไป๋ชิวหรานเดินเข้ามา หลีจิ่นเหยาตรงเข้าหาเข้าพร้อมกับจับมือและจูบทักทาย จากนั้นแม่นางน้อยจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อาวุโสชิวหราน รั่วเวยบอกกล่าวกับพวกเราหมดแล้วเกี่ยวกับสิ่งที่นางพูดคุยกับท่าน ก่อนที่นางจะเข้าสู่การฝึกฝนอย่างสันโดษ”
“อ่า”
ไป๋ชิวหรานมองถังรั่วเวยที่ก้มหน้าอยู่
แม่มดน้อยวิ่งไปหาถังรั่วเวยพร้อมจับมือนางแล้วกล่าวว่า
“คราวนี้ข้าไม่มีสิ่งใดติดค้างกับเจ้าแล้ว”
ถังรั่วเวยพยักหน้ารับอย่างเขินอาย
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย กองเรือเซียนและกองเรือภูตผีก็ผนึกกำลังกันโดยสมบูรณ์ ค่ายกลขนาดยักษ์แปรเปลี่ยนรวดเร็ว อีกทั้งปราการลึกลับที่ปกคลุมอยู่ก็ถูกปลดปล่อยออกมาโดยสมบูรณ์แล้วในเวลานี้
เล่อเจิ้นเทียนอยู่ในชุดคลุมจักรพรรดิ ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งแดนเซียนรุ่นที่สอง เขาก้าวขึ้นสู่ธงเรือของโลกเซียนพร้อมกับไป๋ชิวหรานซึ่งอยู่ในชุดจักรพรรดิภูตผี
ในฐานะผู้นำของแดนเซียนและยมโลก ทั้งสองกล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจให้กับเหล่าทหารทุกคนที่เข้าร่วมในการต่อสู้
หลังจากกล่าวคำพูดยืดยาวเสร็จสิ้น ผู้นำสูงสุดของทั้งสองฝ่ายยกมือขึ้นพร้อมกล่าวกับกองทหารทุกคนพร้อมกัน
“ต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน!”
“ต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน!”
ในขณะนี้ ผู้คนจากแดนเซียนและยมโลกไม่มีสิ่งใดแบ่งแยกพวกเขาจากกัน ทั้งหมดกลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับหายนะที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่ง เวลานี้จิตใจของทุกคนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
ไป๋ชิวหรานและเล่อเจิ้นเทียนมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่งพร้อมเพียง
“ถอนสมอเรือ! มุ่งหน้าสู่สนามรบ!”
ด้วยคำสั่งนี้ กองเรือเซียนและกองเรือภูตผีจึงหันหัวเรืออย่างช้า ๆ กองเรือยิ่งใหญ่มุ่งหน้าสู่ต้นน้ำของสายธารแห่งความว่างเปล่า… มุ่งหน้าสู่สมรภูมิสุดท้าย!