ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 6 สู่ภูเขาเหมิง
บทที่ 6 สู่ภูเขาเหมิง
ชายสองคนกำลังขี่ม้าอยู่บนเส้นทางสู่รัฐซ่างเสวียน คนที่อยู่ด้านหน้าถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้บอกว่าเป็นนักขี่ม้าที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการฝึกฝนสำหรับการขี่ม้ามาอย่างดี
ส่วนชายที่อยู่ด้านหลังดูงุ่มง่ามเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับหลังม้ามากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะควบคุมม้าผ่านเชือกจูงได้อย่างไร ดูเหมือนกับว่าเขาเป็นมือใหม่ในการขี่ม้าอย่างไรอย่างนั้น
“น้องถัง” ไป๋ชิวหรานที่อยู่ด้านหลังตะโกนขึ้น “ช่วยรอข้าด้วย”
ถังเวยที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าเผยท่าทีลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ชะลอความเร็วของม้าลงและหันไปเดินเคียงข้างไป๋ชิวหรานแทน
“ข้าเห็นท่านเดินทางมากับม้าก็นึกว่าจะขี่ม้าเป็น” ถังเวยกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่คิดว่าท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่กลับขี่ม้าไม่เป็น”
“อันที่จริง…ข้ามักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยพลังตัวเอง” ไป๋ชิวหรานยิ้มอาย ๆ
“แล้วท่านซื้อม้ามาทำไม?” ถังเวยเอ่ยถาม “ไม่มีที่ให้ใช้เงินงั้นหรือ?”
“แค่อารมณ์ดี ข้าเลยซื้อม้ามาขี่เล่น” ไป๋ชิวหรานยิ้ม “มีปัญหาสิ่งใดงั้นหรือ?”
“ข้ารู้สึกเสียใจที่สัญญาว่าจะเดินทางร่วมกับท่าน” ถังเวยถอนหายใจ “โดยปกติระยะเวลาเดินทางจากสามวัน ท่านเพิ่งทำให้มันเพิ่มเป็นห้าวัน”
“ฮ่า ๆ” ไป๋ชิวหรานยังคงกล่าวต่อไปแก้เก้อเขิน “ข้าต้องขออภัยด้วย ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ข้าก็ยิ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก”
“คืนนี้ท่านควรหาที่พักใต้เชิงเขาเหมิง เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ท่านก็นำม้าไปขายที่ตลาดเสีย เมื่อท่านไม่ขี่มันไม่เป็น เช่นนั้นก็เดินทางด้วยเท้าตัวเองน่าจะเร็วกว่า” ถังเวยว่า
เมื่อตอนที่อยู่ร้านอาหารป่าก่อนหน้านี้ ไป๋ชิวหรานเสนอให้ถังเวยไปกับเขาด้วย เมื่อพิจารณาแล้วว่าความแข็งแกร่งของไป๋ชิวหรานน่าจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป ถังเวยจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอ
เป็นเวลาห้าวันตั้งแต่พวกเขาเริ่มเดินทางกันมา ถังเวยมีหน้าที่นำทาง ส่วนไป๋ชิวหรานแค่เดินกินลมชมธรรมชาติไปตามประสาคนไม่คิดสิ่งใด
ทั้งสองเดินทางมาถึงยังแดนชนบทของรัฐซ่างเสวียน หลังจากเดินทางมาห้าวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตีนเขาเหมิง
ก่อนที่จะค่ำ พวกเขาได้เดินทางเข้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาลูกนี้ ถังเวยเจอโรงเตี๊ยมภายในเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงพักผ่อนกันก่อน
ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่เหน็ดเหนื่อยมากนัก แต่ไป๋ชิวหรานก็สั่งอาหารเพื่อให้รางวัลแก่ท้องของตน ขณะเดียวกัน ถังเวยได้เดินไปถามข้อมูลจากเจ้าของโรงเตี๊ยมเกี่ยวกับปีศาจในภูเขาเหมิง
ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมถึงกับขมวดคิ้วทันที “ปีศาจในภูเขาเหมิง? อืม…ช่วงนี้มีปัญหามากจริง ๆ มีคนจำนวนมากถูกสังหารในหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียงหลายแห่ง ข้าได้ยินมาว่าปีศาจตัวนั้นเคลื่อนที่เร็วมาก เห็นว่าคนที่เข้าไปปราบมันกลายเป็นโครงกระดูกก่อนจะได้ลงมือด้วยซ้ำ มันไม่เกรงกลัวมนุษย์แม้แต่น้อย อีกทั้งยังหลอกหลอนชาวบ้านทั้งเช้าเย็น มีคนจำนวนมากรวมกลุ่มกันเพื่อไปปราบปีศาจตนนี้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้เลย ข้าหวังว่าจะมีเทพเซียนจากที่ไหนสักที่มาช่วยปราบมันและช่วยเหลือชาวบ้านเสียที”
ถังเวยขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ท่านไม่จำเป็นต้องหวังถึงพวกเขาหรอก ปุถุชนอย่างพวกเราจะจัดการมันเอง”
“นายน้อยผู้นี้ต้องการปราบปีศาจงั้นหรือ?” เจ้าของโรงเตี๊ยมชี้ไปยังโต๊ะต่าง ๆ ภายในร้าน โต๊ะเหล่านั้นมีบรรดายอดฝีมือจากถิ่นอื่นอยู่ “ถ้าเช่นนั้นข้าแนะนำให้ท่านไปปรึกษากับผู้ฝึกตนเหล่านั้น บางคนมาก็เพื่อชื่อเสียง บางคนมาก็เพื่อเงินทอง หากเสนอสิ่งนี้กับพวกเขา ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเห็นด้วยกับท่าน หากคิดจะไปปราบด้วยตัวคนเดียว เช่นนั้นอย่าขุดหลุมฝังตนเองเลย ปีศาจตัวนั้นร้ายกาจอย่างมาก”
“คนของทางการจากรัฐซ่างเสวียนไม่ให้รางวัลคนที่ปราบปีศาจได้เลยหรือ?” ถังเวยยกคิ้วขึ้นขณะถาม
“ท่านพูดเรื่องอะไร? เวลานี้จักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนเสพติดมัวเมาในมนตราอาคมอยู่ เขาไม่สนใจชีวิตและความตายของชาวบ้านอย่างพวกเราหรอก” ขณะเปิดบันทึกบางอย่าง เจ้าของโรงเตี๊ยมได้ก้มหน้าพร้อมกล่าวอีกครั้ง “เงินของรัฐตอนนี้ถูกนำไปใช้ซื้อของสำหรับเล่นแร่แปรธาตุหมดแล้ว มันสายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหาตอนนี้ คิดหรือว่าพวกเขาจะนำเงินที่เหลืออยู่มาเป็นรางวัลสำหรับปราบปีศาจ พวกเราอย่าไปหวังกับทางการของรัฐซ่างเสวียนเลย”
ถังเวยเดินกลับมาที่โต๊ะอย่างเงียบ ๆ เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นน้องถัง? สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย ปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งมากงั้นหรือ?”
“ทุกอย่างปกติดี” ถังเวยเรียกสติกลับมา แต่เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับทางการของรัฐซ่างเสวียน “ไป๋ชิวหราน ข้าจะพาท่านไปขายม้าพรุ่งนี้ หลังจากขายม้าแล้วพวกเราก็ต่างคนต่างไป”
“หืม?” ไป๋ชิวหรานวางจอกสุราลง “ทำไมกัน? ข้าก็อยากจะเข้าไปยังภูเขาเหมิงด้วย”
“เพราะข้าต้องไปจัดการธุระแล้ว” ถังเวยตอบกลับ
“ไป๋ชิวหราน ฟังคำแนะนำของข้า เพราะท่านแค่มาเก็บสมุนไพร หลังจากได้สมุนไพรที่ต้องการแล้ว ท่านจงกลับไปโดยเร็ว ปีศาจบนภูเขานั้นเป็นอันตรายกับผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา อย่าไปยั่วโมโหมันจะดีกว่าหากไม่อยากตาย”
“เมื่อน้องถังยืนกรานเช่นนั้น ก็จงไปทำธุระของเจ้าเสีย”
ไป๋ชิวหรานหาใช่คนไม่รับฟังเหตุผล ที่ผ่านมาเขาต้องการแค่สหายร่วมทางเท่านั้น เนื่องจากอีกฝ่ายได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าต้องไป เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ
“น้องถัง” เขายกจอกสุราขึ้นและยื่นอีกจอกให้ถังเวย “ข้าดีใจที่ได้พบสหายร่วมทางแบบเจ้าในครั้งนี้ หากยังมีวาสนาต่อกัน วันหน้าคงได้พบกันอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ถังเวยพาไป๋ชิวหรานไปยังตลาดซื้อขายม้าเพื่อขายม้า จากนั้นทั้งสองจึงแยกทางกัน
ถังเวยยังคงอยู่ในเมืองต่อโดยคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรกับปีศาจ ขณะเดียวกันไป๋ชิวหรานก็ได้เดินทางสู่ภูเขาเหมิงที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เขายังคงอยู่ในอารมณ์สบาย ๆ ราวกับว่าออกมาพักผ่อนยามฤดูใบไม้ผลิ
ภายในภูเขาเหมิง นอกจากจะมีปีศาจดุร้ายแล้ว มันยังมีสัตว์ร้ายโหดเหี้ยมอีกมากมาย
ภูเขาเหมิงเป็นสถานที่ที่รวบรวมพลังวิญญาณและวัตถุดิบหายากสำหรับบ่มเพาะพลังไว้มากมาย ดังนั้นสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่บนภูเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าที่อื่น ในหมู่พวกมันยังมีสัตว์อสูรวิญญาณที่สามารถเบิกสติปัญญาสำเร็จ โดยพวกมันสามารถควบคุมพลังปราณและพลังแฝงได้
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้น่ากังวลสำหรับไป๋ชิวหรานเลย ถึงแม้เขาจะอยู่ในขั้นพลังที่ต่ำกว่ายอดฝีมือคนอื่น แต่หลังจากเวลาผ่านมาสามพันปี เขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับเริ่มต้นแล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะไปยังสถานที่อันตราย ชายหนุ่มกลับเป็นสิ่งที่อันตรายต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เหล่านั้นแทน
เขามาที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบบางอย่างที่ไม่ได้ใช้กันทั่วไปในโอสถสำหรับสร้างรากฐาน โอสถสร้างรากฐานสำหรับไป๋ชิวหรานแตกต่างจากโอสถสร้างรากฐานธรรมดา เพื่อใช้มันในการรับมือในสถานการณ์พิเศษ โอสถสร้างรากฐานของเขาจึงต้องใช้ของเสริมมากมาย เนื่องจากขั้นกลั่นลมปราณของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก หากใช้โอสถสร้างรากฐานธรรมดาบุกทะลวงขั้นพลัง มันอาจทำให้เขารับมือกับสภาวะแทรกซ้อนไม่ได้ และเสียชีวิตโดยตรง
เวลานี้เขารู้สึกว่าจะบรรลุขั้นพลังอีกครั้ง และมีสมุนไพรบางชนิดที่ขาดหายไปจากสูตรของเขา แม้ว่าสมุนไพรเหล่านี้จะหายาก แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถ เพียงแค่ไม่สามารถหาได้ตามร้านขายทั่วไป แม้แต่ในสำนักกระบี่ชิงหมิงก็ยังไม่มีเก็บไว้ในคลัง ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงต้องลงเขามาหาด้วยตัวเอง
หลังจากเดินทางมาเป็นเวลาครึ่งวัน ไป๋ชิวหลัวจึงเริ่มใช้สัมผัสเทวะเพื่อค้นหาสมุนไพรที่เหลือภายในภูเขาเหมิง