ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 604 ไป๋โม่เสวี่ยผู้ไร้เดียงสา
บทที่ 604 ไป๋โม่เสวี่ยผู้ไร้เดียงสา
บทที่ 604 ไป๋โม่เสวี่ยผู้ไร้เดียงสา
ภายในลานเล็ก ๆ ของสำนักเหอฮวน… ห้องของไป๋โม่เสวี่ย
มือขาวบอบบางคู่หนึ่งวักน้ำอุ่นจากอ่างทองแดง แล้วลูบใบหน้าบอบบางนั้นอย่างเบามือ
ไป๋โม่เสวี่ยล้างหน้าจนสะอาด เช็ดหยดน้ำบนใบหน้าด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะจ้องมองภาพสะท้อนในกระจก
ภาพที่สะท้อนออกมาจะชายก็ไม่ใช่ จะหญิงก็ไม่เชิง …เปี่ยมล้นความงามที่ยากจะอธิบาย มันคล้ายกับภาพจิตรกรรมในตำนาน… มีเสน่ห์ล้นจนไม่อาจมองข้ามได้
ไป๋โม่เสวี่ยมองภาพตรงหน้าสักครู่ก่อนจะถอนหายใจเสียงเบา
“เหตุใดข้าจึงหล่อเหลาเช่นนี้?”
เขาถอนหายใจก่อนจะสวมแว่นตา จากนั้นภาพสะท้อนในกระจกก็กลายเป็นเพียงเด็กชายธรรมดา ๆ
จากนั้นเขาก็หยิบกระบี่บนแท่นวางในห้องแล้วผลักประตูออกไป
ในลานสำนักเหอฮวนมีโต๊ะไพ่นกกระจอกตั้งอยู่ ชายสี่คนนั่งรอบโต๊ะ หนึ่งในนั้นคือบิดาของไป๋โม่เสวี่ย ภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน เขาครอบครองพลังต่อสู้อันไร้ขอบเขต… แข็งแกร่งที่สุด ทว่ากลับเป็นผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตฝึกฝนต่ำต้อยที่สุดเช่นกัน
ที่นั่งตรงข้ามของเขาคือศิษย์สายตรง จักรพรรดิเซียนองค์แรก และศิษย์อีกสองคนของจักรพรรดิเซียนองค์แรกคือซู่หัวและโม่เฉิน
พวกเขาทั้งสี่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกและต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อไป๋โม่เสวี่ยเดินเข้ามาด้านข้าง ไป๋ชิวหรานก็ลอบเหลือบมองจักรพรรดิเซียนองค์แรก
“ให้ตายสิ เจ้าคิดจะสร้างตำนานงั้นหรือ?”
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะพลิกไพ่ตนเอง
“ทำลายเหยาจิ่ว! ครั้งที่หนึ่ง!”
“ดีนัก!”
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม จักรพรรดิเซียนองค์แรก ซู่หัว และโม่เฉินเปิดไพ่ของตนเองออกไปพร้อมกัน ก่อนจะคำรามอย่างขุ่นเคือง
“ไอ้หมาขาหัก!”
ไป๋โม่เสวี่ยเห็นบิดาของตนพับแขนเสื้อขึ้น
นาทีต่อมา ชายชราทั้งสี่เริ่มกลับมานั่งบนโต๊ะอีกครั้งก่อนจะทำความสะอาดไพ่บนโต๊ะ ใบหน้าของพวกเขามีรอยเขียวฟกช้ำ ยกเว้นเพียงไป๋ชิวหราน
“ท่านพ่อ”
ไป๋โม่เสวี่ยยืนดูการกระทำของเขาทั้งหมดก่อนจะกล่าวถามขึ้น
“ท่านตื่นเช้ามาก และยังดูกระปรี้กระเปร่า”
คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความนัย ไป๋โม่เสวี่ยประหลาดใจที่บิดาของเขาตื่นเช้าทั้งที่เมื่อคืนเขาเห็นว่าบิดาผู้นี้เข้าไปในห้องของมารดาผู้ให้กำเนิดเขา
“ยังไม่ได้นอน!”
ไป๋ชิวหรานหัวเราะ
“ข้าก็ยังไม่ได้นอน และเราสี่คนนั่งพูดคุยกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ท้ายที่สุดเขาและจักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ก็มองหน้ากันอย่างมีลับลมคมใน มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จของกันและกันภายใต้สายตาคู่นั้น
“เช่นนั้นขอให้ท่านโชคดีแล้ว”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวบางอย่างก่อนที่จะเตรียมตัวออกไป
“อ้อ… โม่เสวี่ย มานี่ก่อนสิ”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ
“ชงชาให้พวกเราสักถ้วยก่อนจะไป”
ไป๋โม่เสวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยกลับมาอย่างเชื่อฟัง เขาชงชาให้กับบิดาและศิษย์พี่ทั้งสองของตน จากนั้นมองดวงตาปลื้มปีติของจักรพรรดิเซียนซู่หัวและจักรพรรดิเซียนโม่เฉินก่อนจะเดินออกจากลานเล็กแห่งนี้
หลังออกจากประตูลาน เขาก็เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เขาหยิบผ้าพันคอ ถุงมือ และหมวกถักออกจากมิติเก็บของ จากนั้นจึงลอบย่องออกไป
“เฮ้!”
จู่ ๆ มีร่างเล็กอันอบอุ่นเข้ามากอดต้นขาของเขาเอาไว้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับไป๋โม่เสวี่ยไม่น้อย
เขาก้มศีรษะลงมองดูเด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีดำกำลังกอดต้นขาของเขาและเงยหน้าขึ้นมา
“พี่ชายโม่เสวี่ย”
“อ้อ เป็นหลานจื่อ”
ไป๋โม่เสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้าคิดว่าเป็นสาวน้อยปีศาจรุ่นใหม่ภายในสำนักเหอฮวนเสียอีก”
ไป๋หลานจื่อ บุตรสาวของไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวย
หลังจากสงครามยิ่งใหญ่ในห้วงจักรวาลผ่านพ้นไป ในที่สุดไป๋ชิวหรานจึงยอมรับคำสารภาพรักจากศิษย์และแต่งงานกับนาง จากนั้นจึงให้กำเนิดบุตรสาว
ส่วนเด็กที่เข้าสู่ครอบครัวคนใหม่นี้ ทั้งไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียงไม่คิดติดใจใด ๆ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ทราบดีว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคนไม่ใช่เพียงอาจารย์และศิษย์ธรรมดา
ส่วนไป๋หลานจื่อนั้นก็มีพฤติกรรมที่ดีเช่นกัน แต่นางมีปัญหาเดียวที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ไป๋โม่เสวี่ยลูบศีรษะน้องสาวผู้นี้ และรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังสัมผัสขาของเขา
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไป๋โม่เสวี่ยเคยได้ยินบิดาของเขากับมารดาของนางพูดคุยกัน ดูเหมือนว่ามารดาของนางจะมีปัญหากับแผ่นเหล็กบรรพบุรุษที่สืบทอดทางสายเลือด จากนั้นนางจึงทำงานอย่างหนักเพื่อฝึกฝนทักษะหลอมสร้างกายและอดทนต่อความทุกข์ทรมาน จนสามารถเอาชนะชะตากรรมและละทิ้งพันธนาการที่มีได้
น่าเศร้าที่ในเวลานี้… บุตรสาวของนางถูกโชคชะตาเหล่านั้นผูกมัดไว้อีกครั้ง
และไป๋หลานจื่อก็ไม่ต่างจากมารดา นางมีความมุ่งมั่นเดียวกันตั้งแต่ยังเยาว์ และฝึกฝนทักษะการหลอมสร้างกาย ดังนั้นร่างกายของนางจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าทักษะยังไม่สูงมากพอ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีอิสระในเนื้อหนังของตนได้
ไป๋หลานจื่อถูศีรษะกับเอวของไป๋โม่เสวี่ยพร้อมกล่าวถาม
“พี่ชายโม่เสวี่ยกำลังจะไปไหนหรือ? ด้านนอกคือสำนักเหอฮวน ข้าจำได้ว่าพี่ไม่ได้ชอบออกไปข้างนอก”
“ไม่จริง ทุกครั้งที่ข้าออกไป ข้าจะถูกห้อมล้อมด้วยศิษย์ของมารดา แล้วผู้ใดจะอยากออกไปเล่า?”
ไป๋โม่เสวี่ยลูบศีรษะน้องสาวตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และต้องขอบคุณการฝึกฝนที่แข็งแกร่งของเขาเอง มิฉะนั้นหากเขาออกไปอย่างโจ่งแจ้ง เขาจะถูกลักพาตัวและขังไว้ภายในห้องใต้ดินด้วยฝีมือของเหล่าคนสำนักเหอฮวน
แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยย่อมสามารถค้นหาบุตรชายของตนได้ แต่ทันทีที่พบ สีหน้าของไป๋โม่เสวี่ยจะต้องเผยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแน่นอน
“อ่า เมื่อเร็ว ๆ นี้พี่สาวข้าบอกว่านางประสบปัญหาเล็กน้อยและต้องการให้ข้าไปช่วยเหลือ”
ไป๋โม่เสวี่ยลูบศีรษะไป๋หลานจื่อ
“สุดท้ายแล้วนางคือพี่หญิงใหญ่ของพวกเรา เช่นนั้นข้าจะเมินเฉยต่อนางได้อย่างไร?”
“โอ้” ไป๋หลานจื่อพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า
“แต่ข้าจดจำได้ว่าคราวที่แล้วพี่หญิงใหญ่ซวี่เซียงขอให้ท่านแต่งตัวเป็นสตรีและไปที่หอรัญจวนเพื่อเป็นดาวเด่นอันดับหนึ่ง คราวนั้นราวกับเกิดสงครามระหว่างโลกเลยมิใช่หรือ? แล้วคราวนี้นางยังขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านก็ยังเต็มใจจะไป?”
“…”
ไป๋โม่เสวี่ยครุ่นคิด
“เราเป็นครอบครัวที่รักใคร่กันยิ่งนัก และนางไม่ควรจะหลอกลวงข้าถึงสองครั้งติดกันใช่หรือไม่?”
“นั่นสมควรเป็นคำพูดของพี่หญิงใหญ่ซวี่เซียง”
ไป๋หลานจื่อยิ้มพร้อมกล่าวต่อ
“ท่านไม่ได้ยินท่านแม่เจียงหลานกล่าวหรือว่าอายุของนางกำลังอยู่ในช่วงต่อต้าน?”
ไป๋โม่เสวี่ยคิดไตร่ตรองก่อนจะกล่าวอย่างหมดหนทาง
“แต่อย่างไรข้าก็ต้องไป เจ้าก็ทราบถึงนิสัยพี่หญิงใหญ่ของเราดี หากข้าไม่ไปดู นางจะต้องทำบางสิ่ง และที่สำคัญหากไม่ไปช่วยเหลือนาง นางย่อมขุ่นเคืองแน่ และเมื่อกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่นางจะทำคือ…”
“เช่นนั้นท่านก็จงวางใจในโชคของตน”
ไป๋หลานจื่อตบเอวของไป๋โม่เสวี่ยก่อนจะกล่าวต่อ
“เช่นนั้นข้าจะไปบอกท่านแม่เซียงเสวี่ยและท่านแม่จิ่นเหยาว่าช่วงนี้ท่านไม่อยู่บ้าน”
“อืม…”
ไป๋โม่เสวี่ยมองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีสมาชิกอื่นของสำนักเหอฮวนที่ต้องการตัวเขาแล้ว เขาจึงหันมากล่าวกับน้องสาวครั้งสุดท้าย
“อย่างไรเสีย อย่าลืมเตือนท่านแม่จิ่นเหยาให้หาอาหารบำรุงร่างกายให้ท่านพ่อด้วย”
“มีอะไรงั้นหรือ?”
“ท่านพ่อของเราเล่นไพ่นกกระจอกกับพี่ชายหลี่ ซู่หัว โม่เฉินกับคนอื่น ๆ ตั้งแต่เช้าตรู่”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวอย่างมีลับลมคมใน
“ท่านพ่ออยู่กับท่านแม่ตลอดทั้งคืน”
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว”
ไป๋หลานจื่อโบกมือพร้อมกล่าวคำ
“พี่ชายโม่เสวี่ย เดินทางปลอดภัย”
“อืม”
ไป๋โม่เสวี่ยลูบศีรษะน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระชับการแต่งตัวของตนเอง และลอบออกจากลานหลักของสำนักเหอฮวนโดยใช้ทักษะซ่อนเร้นร่างกาย