ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 608 เทพธิดา
บทที่ 608 เทพธิดา
บทที่ 608 เทพธิดา
“งดงามยิ่งแล้ว ผู้ฝึกตนแลกเปลี่ยนผู้นี้”
“เทพธิดาชัด ๆ”
“ไม่ เป็นเทพีแห่งสรวงสวรรค์น่าจะเหมาะกว่า”
“โอ้! บ้าจริง ข้ารู้สึกว่ารสนิยมทางเพศของข้ากำลังสั่นคลอนแล้ว!”
ไป๋โม่เสวี่ยยืนอยู่บนเวทีโดนไม่สนใจเหล่าผู้ฝึกตนหญิงที่กำลังพร่ำเพ้ออยู่ด้านล่าง เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพกับผู้ฝึกตนทั้งหมดด้วยท่าทางสง่างามและยังเผยความเป็นมิตร
ด้วยความสามารถของตน เด็กหนุ่มจึงทราบดีว่าจะเป็นเพื่อนกับผู้ฝึกตนในชั้นเรียนนี้อย่างไร ไป๋โม่เสวี่ยเป็นเพียงผู้ฝึกตนแลกเปลี่ยน เขาจึงต้องรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบและต้องแฝงไว้ด้วยความลึกลับ เพื่อที่จะสามารถควบคุมผู้ฝึกตนทั้งหมดไว้ในกำมือ
“เช่นนั้น พวกเราทุกคนจึงยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ของชั้นเรียน”
แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังรู้สึกทึ่งกับความสามารถของเขาในเวลานี้ เขาปรบมือพร้อมกับมองไปรอบ ๆ โถงศึกษา
“แล้วสหายร่วมชั้นผู้นี้สมควรนั่งตรงไหนดี… อ้อ หลี่ลี่ ทำไมไม่ให้ไป๋โม่เสวี่ยนั่งข้างเจ้าล่ะ”
“ดะ… ได้เลย!”
หลี่ลี่กล่าวอย่างยินดี
ไป๋โม่เสวี่ยเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างของหลี่ลี่อย่างใจเย็น ท่วงท่าของเขาไม่ต่างไปจากสตรีจากภูเขาเหมันต์ ก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“ได้พบกันอีกครั้งแล้ว… หลี่ลี่?”
“ใช่! ได้เจอกันอีกครั้งแล้ว!”
หลี่ลี่ตื่นตระหนกจนสติแทบจะหลุดลอย นางรีบลุกขึ้นคำนับตอบไป๋โม่เสวี่ย
“นั่น …นั่น ศิษย์พี่หญิงไป๋โม่เสวี่ย!”
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่”
ไป๋โม่เสวี่ยยิ้ม และใบหน้ายิ่งเผยความทรงเสน่ห์
“เจ้ากับข้าน่าจะอายุไม่ห่างกันนัก…”
หากใช้อายุของเผ่าปีศาจมาคิดรวมด้วยน่ะนะ…
เขากล่าวประโยคนี้ลับ ๆ อยู่ในใจ
“โอ้… ใช่!”
หลี่ลี่ยังคงพยักหน้ารับ
ไป๋โม่เสวี่ยเอื้อมมือไปดึงให้อีกฝ่ายนั่งลง
“ไม่ต้องกังวลหรอก ต่อจากนี้เราต้องนั่งอยู่โต๊ะข้างกัน ควรจะเป็นเพื่อนกันไว้ดีกว่า”
ความวุ่นวายจากผู้มาใหม่เช่นไป๋โม่เสวี่ยดำเนินต่อไปอีกสักครู่ จากนั้นโถงศึกษาจึงเงียบลง อาจารย์เริ่มเข้ามาเริ่มการเรียนการสอนในช่วงเช้า แต่แม้ว่าจะกำลังเรียนอยู่ ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไป๋โม่เสวี่ยตลอดเวลา ราวกับต้องการกักเก็บเขาไว้ในใจตลอดไป
หลี่ลี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างยังรู้สึกเวียนหัว …ดวงตาของนางหมุนเป็นวงกลมรอบทิศ แม้ว่านางจะมีพลังพิเศษและไม่สนใจความทรงเสน่ห์ของไป๋โม่เสวี่ย แต่ด้วยรากฐานของเขาแล้ว ต้องนับว่าเด็กหนุ่มช่างสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง รวมถึงนิสัยใจคอที่ได้รับการสั่งสอนจากซูเซียงเสวี่ย มันจึงไม่ยากนักที่จะทำให้สตรีผู้นี้หลงเสน่ห์ของเขา
เสน่ห์อันพร่างพราวที่ได้รับสืบทอดจากซูเซียงเสวี่ยนับว่าน่าหวาดกลัวยิ่งนัก นอกจากนี้ตามคำสอนของไป๋ชิวหรานที่กล่าวว่า ‘ไม่มีความสามารถใดที่ไร้ประโยชน์’ ไป๋โม่เสวี่ยยังเรียนรู้ทักษะในการร่ายมนตร์มากมายที่ไป๋ชิวหรานสั่งสอนและช่วยปรับปรุงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเขา เช่นนี้ …เมื่อเด็กหนุ่มใช้ความสามารถ ไม่ต้องกล่าวถึงในชั้นเรียนแห่งนี้ แม้แต่คนในสำนักและเมืองนี้ก็สามารถตกเป็นหุ่นเชิดในมือของเขาได้ง่ายดาย พวกเขาจะยินยอมเชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดอย่างตั้งใจ
เขาเพิกเฉยต่อความอิจฉาและความชื่นชมโดยรอบ เวลานี้ไป๋โม่เสวี่ยแสร้งทำเป็นตั้งใจฟังบรรยาย แต่ความจริงแล้วกำลังทำอีกหนึ่งสิ่ง จิตสำนึกในใจถูกแบ่งแยก และกำลังติดต่อกับไป๋ซวี่เซียงที่อยู่นอกสำนัก
ขอบเขตการฝึกฝนของสองพี่น้องอยู่ในขั้นอมตะแท้จริง และจิตสำนึกเทวะของพวกเขาล้วนทรงพลัง อีกทั้งไป๋ซวี่เซียงนั้นมีสายเลือดเทพพเจ้า ดังนั้นความแข็งแกร่งของนางจึงไม่อาจประเมินได้เพียงแค่ขอบเขตการฝึกตน สำหรับทั้งสองแล้วหากต้องเผชิญหน้ากัน พวกเขาย่อมไม่ต่างกันนัก
“พี่หญิง… ท่านพบเบาะแสใดหรือไม่?”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวถามผ่านสัมผัสเทวะ
“ไม่”
ไป๋ซวี่เซียงตอบกลับอย่างเบื่อหน่ายคล้ายไม่สนใจนัก
“แล้วท่านมัวทำอะไรอยู่?”
ไป๋โม่เสวี่ยจึงเตือนว่า
“อย่าได้กล่าวว่าข้าสั่งสอน นี่เป็นงานของท่านแล้ว เพราะท่านขอร้อง ข้าจึงมาช่วยเหลือ”
“รู้แล้วน่า”
ไป๋ซวี่เซียงคล้ายกับไม่ใส่ใจเล็กน้อย
“กล่าวสั้น ๆ เจ้าเพียงต้องปกป้องหลี่ลี่ให้ดี ปีศาจที่หลบหนีจากแดนเซียนต้องการจะพาตัวหลี่ลี่ไปก่อนวันที่สิบห้าเดือนหน้า หากมันบรรลุเป้าหมาย วันที่สิบห้าเดือนหน้าคือเวลาที่ดีที่สุดในการเซ่นสังเวยโลหิตของปีศาจ หากพวกเขาไม่อาจลงมือในวันนั้น นั่นหมายความว่าแผนการทั้งหมดของพวกมันล้มเหลว”
“ปกป้องนางเพียงหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”
ไป๋โม่เสวี่ยตอบกลับ
“เข้าใจแล้ว”
…
สำนักจันทราศักดิ์สิทธิ์สั่งสอนการกลั่นลมปราณจนไป๋โม่เสวี่ยรู้สึกว่าหากอีกสักสองถึงสามร้อยปีเมื่อบิดาของเขามาเยือนสถานที่แห่งนี้และได้รับรู้หลักสูตรของสำนัก เขาจะต้องรู้สึกยินดีอย่างแน่นอน
หลักสูตรเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ไป๋โม่เสวี่ยทำได้ดีมากในทุกหลักสูตร เพียงแต่ในทุก ๆ เช้าเขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของทั้งสำนักและในชั้นเรียน
หลังเลิกเรียน ทางเดินด้านนอกเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนหญิงมากมาย ทุกคนล้วนแต่อยากพบเจอผู้ฝึกตนแลกเปลี่ยนในตำนานผู้นี้
มีกระทั่งกลุ่มหญิงสาวที่จัดให้เขาอยู่ในอันดับบางอย่าง และเรียกเขาด้วยฉายาว่า ‘เทพธิดา’
ไป๋โม่เสวี่ยคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้แล้ว และโลกวัตถุแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยอารยธรรมระดับสูง หากเขาต้องช่วยไป๋ซวี่เซียงในยุคสงครามก่อนหน้าหน้า ดูท่าว่าเมืองนี้คงจะต้องลุกเป็นไฟเพราะความงดงามของเขาอย่างแน่นอน
“หลี่ลี่”
ในช่วงพักกลางวัน ไป๋โม่เสวี่ยเรียกหาสหายร่วมชั้นของตน
“อ๊ะ!”
หญิงสาวผมสีเกาลัดสั่นสะท้านราวกับสัตว์ตัวน้อย ก่อนจะกล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“มีสิ่งใดหรือ? อาวุโสไป๋โม่เสวี่ย?”
“อย่าเรียกข้าว่าอาวุโส…”
ไป๋โม่เสวี่ยหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อ
“ทั้งเจ้าและข้าต่างก็นั่งโต๊ะข้างกัน ดังนั้นเราควรจะเป็นเพื่อนกัน… ข้าแค่อยากถามเจ้าถึงเรื่องอาหารกลางวันน่ะ”
“เอ่อ…”
หลี่ลี่กระซิบ
“ข้าพกเงินมาและกำลังจะไปโรงอาหาร”
“ข้าเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้ และไม่ได้เตรียมอาหารกลางวันมา”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวคำอย่างสบาย ๆ
“รังเกียจหรือไม่หากข้าจะขอไปด้วย?”
“โอ้ ย่อมได้ …ไปได้แน่นอน!”
หลี่ลี่ลุกขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน นางรู้สึกว่าร่างกายคล้ายกับจะล่องลอยไป มันเต็มไปด้วยความกังวลแต่กลับยินดี
ไป๋โม่เสวี่ยเห็นเช่นนี้จึงจับมือนางก่อนจะเดินไปด้านหลังชั้นเรียนด้วยกัน
เขายื่นมือออกไปเปิดประตูออก ด้านนอกเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนหญิงมากมาย
สตรีเหล่านี้ใบหน้าแดงก่ำพร้อมกำลังจับกลุ่มพูดคุย เมื่อพวกนางเห็นไป๋โม่เสวี่ยออกมา ทั้งหมดจึงแยกย้ายและถอยห่างออกไปทันที เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่
“ขอโทษนะ… พวกเรากำลังจะไปโรงอาหาร”
ไป๋โม่เสวี่ยยิ้มพร้อมกล่าวต่อ
“พวกเจ้าช่วยหลีกทางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“อ๊ะ!”
หญิงสาวทั้งหมดกรีดร้อง เสียงครวญครางดังขึ้นเป็นครั้งคราว
แต่ถึงอย่างนั้นพวกนางก็หลีกทางให้กับหลี่ลี่และไป๋โม่เสวี่ยอย่างว่าง่าย
ไป๋โม่เสวี่ยพาหลี่ลี่เดินไปตามเส้นทาง ตรงสู่โรงอาหาร ด้านหลังของทั้งสองมีผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มใหญ่ติดตามมาด้วยเช่นกัน
ช่วงเที่ยงของวันนี้ โรงอาหารของสำนักจันทราศักดิ์สิทธิ์ที่แทบจะรกร้างจึงแน่นไปด้วยฝูงชนจนไม่สามารถเดินผ่านได้