ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 61 เมืองแห่งความสับสน
สิ่งแรกที่พวกเขาสัมผัสได้คือ มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในภูเขาละแวกใกล้เคียง ต่างรีบออกมามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ชาวยุทธภพที่ต้องการแสวงหาโชคชะตาเซียนและหลุดพ้นจากสถานะทางโลกต่างพากันมาที่เมืองโบราณ
แน่นอนว่ามันย่อมเกิดข้อพิพาท หลังจากที่เหล่าจอมยุทธ์กลุ่มแรกมาพบกันที่หน้าประตูเมืองโบราณ พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากการต่อสู้อันวุ่นวายจบลง แต่ละฝ่ายต่างโยนศพลงไปปะปนกันที่ทางเข้าเมืองโบราณ
ตามมาด้วยกองทัพท้องถิ่นที่ได้รับข่าวกับผู้ฝึกตนจากสํานักบําเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้เคียง หลังจากตัวตนระดับสูงเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา กองกําลังที่เผชิญหน้ากัน ณ ประตูจึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยการเผชิญหน้าระหว่างการประจบสอพลอของรัฐกับสํานักบําเพ็ญเพียร
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความโกลาหลจากสำนักที่มีอํานาจ หรือแม้แต่การแทรกแซงโดยตรงของห้าพันธมิตรฝ่ายธรรมหรือสำนักฝั่งมาร หลังจากการปรึกษาหารืออย่างเร่งด่วน ผู้ปกครองของดินแดนนี้จึงได้บรรลุข้อตกลงกับสํานักผู้ฝึกตนหลายแห่ง ตัดสินใจที่จะให้ผู้บําเพ็ญเพียรของดินแดนและผู้ฝึกตนของสํานักร่วมกันสํารวจเมืองโบราณ โดยผลที่ได้รับจะถูกแบ่งตามสัดส่วน
ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานจากสํานักขนาดเล็ก ภายใต้การนําของผู้ฝึกตนสองคนกําลังเตรียมสํารวจเมืองโบราณที่ปรากฏขึ้นอย่างกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าเป็นโบราณสถานที่ไม่ธรรมดา
เมื่อรัฐและสำนักประนีประนอมกัน ประตูเมืองโบราณแห่งนี้จึงได้เปิดออกราวกับรู้ว่าจะมีคนเข้ามา เผยให้เห็นพื้นที่มืดสนิทภายใน
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง พลางร่ายเวทวิชาทักษะเพิ่มการมองเห็น เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในประตู แต่ความมืดภายในเมืองโบราณดูเหมือนจะเป็นพลังงานที่ปิดกั้นสายตาเอาไว้
ไม่มีใครตอบคําถามของเขาได้ ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำดึงสายตากลับมา ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง จ้องมองไปยังผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคําอีกคน พร้อมเสนอหยั่งเชิง
“ถ้าเช่นนั้น เรา…”
เหง่ง!
ในตอนนั้นเอง เสียงระฆังส่งเสียงดังก้องขึ้นในเมืองโบราณ
คลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทะลุผ่านความมืดจากใจกลางของเมือง ก่อนกระจายไปทุกทิศทุกทาง
หลังจากได้ยินเสียงระฆังนี้ เสียงของผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำที่เดิมทีกําลังพูดอยู่ก็หยุดลง ทหาร ผู้ฝึกยุทธ์ และผู้ฝึกตนนับพันคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างแข็งค้างอยู่ที่เดิม
เหง่ง!
จากนั้นไม่นาน เสียงระฆังที่สองก็ดังขึ้น ทุกคนที่แข็งค้างอยู่ที่เดิมเริ่มเคลื่อนไหว แต่ดวงตากลับสูญเสียความมีชีวิตชีวาไปแล้ว การเคลื่อนไหวเชื่องช้าแต่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ราวกับหุ่นเชิดที่ถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นควบคุมไว้ ไม่มีความคิดของตัวเองอีกต่อไป
“อ๊าก…”
ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำที่พูดเมื่อครู่พลันเอ่ยออกมาคําหนึ่ง
“ทำลายราชวงศ์ชิงและสร้างราชวงศ์ใหม่”
“ทำลายราชวงศ์ชิงและสร้างราชวงศ์ใหม่”
ราวกับเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เมื่อสิ้นเสียงของผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำ คนอื่น ๆ ก็ร่ายคำพูดนี้ออกมา
“ทำลายราชวงศ์ชิงและสร้างราชวงศ์ใหม่”
ไม่นานผู้คนจากขุมพลังกับนิกายต่าง ๆ ก็ออกเคลื่อนไหว ต่างยืนเดินโซซัดโซเซเข้าไปในเมืองโบราณก่อนจะหายไปในความมืดที่อยู่ด้านหลังประตูเมืองอย่างเชื่องช้า
เมื่อเงาร่างของคนสุดท้ายจมลงไปในความมืด ประตูเมืองโบราณพลันปิดลงดังปัง! จากนั้นหมอกหนาทึบลอยคืบคลานเข้ามา เมืองโบราณทั้งเมืองจมอยู่ใต้หมอกหนานี้
ครึ่งวันต่อมา หมอกหนาได้สลายจางไป ไม่มีร่องรอยของเมืองโบราณอีกต่อไป ราวกับว่าการปรากฏตัวครั้งนี้เป็นเพียงความฝัน
“ท่านเจ้าสํานัก”
เมื่อเยว่เชียนเหลียนเดินเข้าไปในโรงหลอมเหล็กเทียนอวี้ ศิษย์หลายคนหยุดมือเพื่อโค้งคํานับเขา แต่เหล่าศิษย์จํานวนไม่น้อยยังคงจดจ่ออยู่กับงาน บ้างควบคุมไฟในเตาหลอมอุปกรณ์ บ้างจดจ่ออยู่กับการสลักอักขระลงบนตัวอ่อนโลหะในเตา
ที่นี่มีกฎว่า ‘เมื่อเจ้านายมาถึงโรงผลิต’ หากผู้ใต้บังคับบัญชากําลังหลอมอุปกรณ์อยู่… ก็ไม่จําเป็นต้องคารวะเจ้านาย แม้แต่ท่านเจ้าสำนักเองก็เช่นกัน
“มุ่งเน้นไปที่งานของพวกเจ้า อย่าให้สิ่งเร้าภายนอกมากระทบงานได้”
เยว่เชียนเหลียนชี้นิ้วด้วยสีหน้ามั่นคง
“ดูสหายที่อยู่รอบตัวพวกเจ้าสิ… เอาเถอะ ข้าไม่สนใจคําทักทายเหล่านี้หรอก สิ่งที่พวกเจ้ากําลังหลอมขึ้นมาจากสำนักต่างหากที่สําคัญกว่ามารยาท”
“ท่านเจ้าสํานัก สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์แห่งการหลอมอุปกรณ์ ช่างดูสง่างามเสียจริง”
“แน่นอนสิวะ เมื่อวานข้าได้ยินคนบอกว่า มีคนเห็นท่านเจ้าสํานักเมามายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ถอดเสื้อผ้าวิ่งว่อนไปตามริมฝั่ง ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงข่าวลือ… ท่านเจ้าสํานักจะทําเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?!”
เมื่อเยว่เชียนเหลียนเดินผ่านไป เหล่าศิษย์หลายคนพากันกระซิบกระซาบอย่างเลื่อมใส
หลังจากเดินวนไปมาในโรงผลิตตามปกติ เยว่เชียนเหลียนจึงเดินออกจากโรงหลอม ขณะกำลังจะกลับไปยังห้องหนังสือเพื่อดูแลงานของสํานัก ศิษย์คนหนึ่งกลับรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเอ่ยรายงานเสียงเข้ม
“ท่านเจ้าสํานัก เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่านจักรพรรดิแห่งรัฐตงหลิงส่งสารขอความช่วยเหลือมา เมื่อวานมีเมืองโบราณปรากฏขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐ ฮ่องเต้ส่งผู้อาวุโสสูงสุดพร้อมกับทหารหลายพันคนพากันไปตรวจสอบ แต่คนกลุ่มนี้กลับหายตัวไปหมดแล้ว เมืองโบราณก็ไม่เห็นแล้วเช่นกัน”
“หืม?”
สีหน้าของเยว่เชียนเหลียนแข็งค้าง เขาดึงศิษย์คนนี้ไปด้านข้างพร้อมถาม
“พูดให้ชัดเจน ผู้อาวุโสสูงสุดพร้อมทหารนับพันหายไป หมายความว่าอย่างไร?”
“ขอรับ”
ศิษย์คนนี้รายงาน
“ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสกับกองทัพของอาณาจักรตงหลิงเท่านั้น แต่ยังมีผู้ฝึกตนจากสํานักเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงอีกหลายสํานัก รวมถึงผู้ฝึกยุทธ์และสามัญชนที่ได้ยินข่าวนี้ ทุกคนในที่เกิดเหตุล้วนหายตัวไปพร้อมกับเมืองโบราณแห่งนั้น”
เยว่เชียนเหลียนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ไปเชิญผู้อาวุโสหลิวให้เขาพาศิษย์ที่มีความสามารถในการสํารวจที่แข็งแกร่งไปยังจุดเกิดเหตุ แล้วให้เขียนหนังสือติดต่อห้าพันธมิตรฝ่ายธรรม รายงานเรื่องนี้ให้กับพวกเขาทราบ”
“ขอรับ!”
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สํานักหลอมอุปกรณ์อย่างเทียนอวี้ไม่เต็มใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว พื้นที่ของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินนั้นกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยโบราณสถานที่เหล่าเทพและอสูรมารทิ้งไว้ให้ ผู้คนจํานวนมากจึงถูกฝังอยู่ในเส้นทางสํารวจโบราณสถานเหล่านี้
แต่รัฐตงหลิงนับว่าเป็นสำนักเทียนอวี้ปกป้องอยู่ ภายใต้คำสั่งของฮ่องเต้ ยังมีลูกศิษย์จากสำนักเทียนอวี้อยู่หลายคน ฮ่องเต้ขอความช่วยเหลือด้วยตนเองเช่นนี้ เยว่เชียนเหลียนในฐานะเจ้าสำนักต้องแสดงท่าทีบางอย่าง
ในขณะที่รายงานแด่ห้าพันธมิตรฝ่ายธรรม เยว่เชียนเหลียนจึงส่งคนไปตรวจสอบ เพื่อการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการหลอมอุปกรณ์พร้อมดูแลผู้คนมากมาย นี่จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในใจของเยว่เชียนเหลียนมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา