ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 610 ความงามคือรางวัลสำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
บทที่ 610 ความงามคือรางวัลสำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
บทที่ 610 ความงามคือรางวัลสำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
หลังจากที่ขอให้หลี่ลี่รออยู่แถวประตูสำนัก ไป๋โม่เสวี่ยก็ลุกขึ้นพร้อมเดินออกจากห้องเรียนมุ่งหน้าสู่ห้องพักของอาจารย์ใหญ่
ภายในที่โล่งอันพลุกพล่านอย่างประตูสำนัก คนของซวี่เซียงคงจะคุ้มกันหลี่ลี่ได้ ดังนั้นไป๋โม่เสวี่ยจึงปล่อยหลี่ลี่ออกไปอย่างสบายใจ ก่อนที่เขาจะตรงสู่ห้องพักอาจารย์ใหญ่ที่ชั้นบนสุดของสำนักเพียงลำพัง และห้องพักอาจารย์ใหญ่นี้กินพื้นที่ไปทั้งชั้นสำนัก
เขาเคาะประตูทันทีที่มาถึง
“เข้ามา”
หลังจากเคาะประตูไม่นานนัก เสียงสตรีที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ล้นพลันดังขึ้นมาจากด้าน
ไป๋โม่เสวี่ยผลักประตูเปิดเข้าไป ก่อนจะเห็นข้าวของตกแต่งมากมายที่นับว่าหรูหราอัดแน่นอยู่ภายในชั้นแห่งนี้
เหนือศีรษะมีโคมระย้าผลึกแก้วขนาดใหญ่ เพียงมองดูก็ทราบแล้วว่าเป็นผลงานของช่างฝีมือเลื่องชื่อ และราคาของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจับต้องได้ ด้านซ้ายเป็นชั้นตำราสูงใหญ่สองแถว ตำราทุกประเภทถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ใจกลางของห้องนี้มีพรมปักเลื่อมลายทองขนาดใหญ่วางประทับ และโต๊ะทำงานทำจากไม้ชั้นเลิศดูสง่างาม ส่วนสตรีในชุดเป็นทางการนั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะนั้น
“ผู้มั่งคั่งจากการทุจริต”
ไป๋โม่เสวี่ยสาปแช่งคำเบาก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
เขาปิดประตูแล้วเหยียดตัวตรงทักทายอาจารย์ใหญ่อย่างสุภาพในฐานะผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่ง ก่อนจะถามว่า
“อาจารย์ใหญ่ มีสิ่งใดจึงเรียกพบข้างั้นหรือ?”
“มานั่งตรงนี้ก่อนสิ สหายร่วมชั้นไป๋โม่เสวี่ย”
ทันทีที่เห็นไป๋โม่เสวี่ย ดวงตาของนางถึงกับเบิกกว้าง ไม่อาจกักเก็บความประหลาดใจได้ น้ำเสียงอ่อนลงขณะกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“อย่าเสแสร้งนักเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าข้า เพราะข้ามองเจ้าออกทะลุปรุโปร่ง”
ไป๋โม่เสวี่ยสบถคำเบา ก่อนจะเดินตรงไปที่พรมด้วยท่าทางสงบ
“วันนี้ข้าเรียกพบเจ้าเพื่อต้องการถาม มีอะไรทำให้ไม่สบายใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสำนักใหม่แห่งนี้หรือไม่?”
อาจารย์ใหญ่ยังคงกล่าวอย่างอ่อนโยน
“หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ สามารถกล่าวกับข้าได้ และข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการปัญหาเหล่านั้น”
“รายงานอาจารย์ใหญ่ ข้าไม่มีสิ่งใดให้กังวลใจ”
ไป๋โม่เสวี่ยตอบกลับ
“อาจารย์ในสำนักล้วนแต่มีความรู้ ศิษย์เองก็ยังมีความกระตือรือร้นทั้งสิ้น ข้าชื่นชอบบรรยากาศของสำนักนี้”
“ดีแล้ว”
ขณะที่อาจารย์ใหญ่กล่าวเช่นนั้น นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“แต่สำหรับความปลอดภัย ข้ามอบหมายให้ใครคนหนึ่งรับผิดชอบดูแลชีวิตของเจ้าแล้ว ลองรับชมนี่ก่อนสิ”
ขณะที่กล่าว นางก็หยิบคันฉ่องออกจากใต้ลิ้นชัก และหันมันเข้าหาไป๋โม่เสวี่ย
ในคันฉ่อง ชายชุดดำจับจ้องเด็กหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ ด้วยดวงตาเปล่งประกายสีแดงสด
“ยอมจำนนต่อข้าซะ!”
เขาคำรามเสียงดัง
“ในโลกใบนี้ ความงดงามคือรางวัลสำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น!”
…
ในขณะเดียวกัน ใกล้กับประตูของสำนัก หลี่ลี่กำลังถือถุงเก็บของ รอคอยไป๋โม่เสวี่ยอย่างกังวล
“ทำไมโม่เสวี่ยยังไม่มา?”
นางยังคงยืนอยู่ที่นี่หลังจากรอมานานกว่าสิบนาที แต่เวลานี้นางก็อดไม่ได้ที่จะเสียสติ
“หรือนางคิดจะทิ้งข้าไว้แล้วกลับไปเงียบ ๆ เพียงคนเดียว?”
หลี่ลี่เกิดมาพร้อมกับปมบางอย่างในใจ นางรู้สึกว่าเมื่อยืนเคียงข้างกับบุคคลที่งดงาม นางยิ่งเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่
ขณะที่กำลังสับสน มีสตรีสองคนเดินตรงเข้ามาจากประตูสำนักและหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่ลี่
“หลี่ลี่ใช่หรือไม่?”
สตรีทั้งสองกล่าวถาม
“เป็นข้า แล้วขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าทั้งสองคนเป็นใคร…”
หลี่ลี่กล่าวถามอย่างลังเล
“เราเป็นอาจารย์ของสำนักแห่งนี้ แต่ไม่ใช่ในชั้นเรียนของเจ้าหรอก เช่นนั้นเจ้าจึงไม่เคยพบเจอพวกเรา”
สตรีคนหนึ่งยิ้มให้กับนางพร้อมกล่าวต่อ
“เราถูกอาจารย์ใหญ่เรียกพบ นางต้องการพูดคุยกับเจ้า… มันเกี่ยวกับไป๋โม่เสวี่ยเพื่อนร่วมชั้นของเจ้าน่ะ”
“โม่เสวี่ย…”
หลี่ลี่มองสตรีตรงหน้าทั้งสอง และเห็นว่านางสวมใส่เครื่องแบบอาจารย์ประจำสำนักจริง ๆ และนางรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของพวกเขาทั้งสอง อีกอย่างเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับไป๋โม่เสวี่ย นางจึงไม่คิดลังเลอีกต่อไป จากนั้นจึงเดินตามอาจารย์หญิงทั้งสองเข้าสู่สำนักอีกครั้ง
“เป้าหมายเคลื่อนไหวแล้ว”
ในเวลาเดียวกัน ในอาคารใหญ่ด้านนอกของสำนัก สมาชิกของกลุ่มทำภารกิจจากแดนเซียนนั่งหันหน้าเข้าหาแผ่นแสงแสดงผล พวกเขารายงานทุกสิ่งที่เห็นเกี่ยวกับไป๋โม่เสวี่ยให้ไป๋ซวี่เซียงรับทราบ
“สมาชิกองค์กรต้องสงสัยปรากฏตัวแล้ว และพวกมันพานางกลับเข้าสู่สำนัก”
“อืม เตรียมลงมือ”
ไป๋ซวี่เซียงออกคำสั่ง
“พวกเจ้าแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกไล่ตามพวกมันไป และทีมที่สองปิดกั้นทางหนีทั้งหมด ต้องจับให้ได้ภายในคราวเดียว”
“รับทราบ”
เซียนทั้งสองออกไปหลังจากรับคำสั่ง แต่หลังจากไป๋ซวี่เซียงคิดไตร่ตรอง นางก็เอียงศีรษะไปมาก่อนจะพลิกตัวล้มลง ทันใดนั้นรอยแตกบนพื้นพลันเปิดออกอย่างเงียบงัน ในหลุมดำลึกลับนั้นดูดกลืนเอาไป๋ซวี่เซียงเข้าไปด้านในพร้อมเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่ ก่อนจะปิดตัวลงดังเดิม
…
ภายในห้องของอาจารย์ใหญ่ ลำแสงสีแดงจากดวงตาของชายชุดดำพุ่งเข้าใส่ดวงตาของไป๋โม่เสวี่ยอย่างแม่นยำ!
ไป๋โม่เสวี่ยยืนแข็งค้างอยู่กับที่ ดวงตาเปล่งประกายสีแดง และไม่อาจขยับเขยื้อน
“ฮ่าฮ่า!”
เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้ว ชายชุดดำก็ระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง
“แล้วกองกำลังของแดนเซียนล่ะ? ทำไมไม่ทำให้พวกมันกลายเป็นเตาหลอมของข้าอย่างเชื่อฟัง! ซินหนู พามันไปที่โกดังของข้า!”
“ทราบแล้ว”
อาจารย์ใหญ่โค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ
“เดี๋ยว”
ชายในชุดดำมองไป๋โม่เสวี่ยผ่านคันฉ่องพร้อมกล่าวต่อ
“อย่าได้ตกใจเลย รอให้ข้าได้ชื่นชมความงามนี้ก่อนเถิด”
อาจารย์ใหญ่ถึงกับผงะเมื่อได้ยิน ขณะที่ชายชุดดำเริ่มชื่นชมใบหน้าของไป๋โม่เสวี่ยด้วยความระส่ำระส่ายในสายตา
การจ้องมองของเขาไม่แตกต่างจากอสรพิษ เขาโลมเลียผิวหนังและนิ้วของไป๋โม่เสวี่ยอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งใบหน้าบอบบางและสมบูรณ์แบบสบตากับดวงตาแข็งกร้าว และเขาเห็นว่าแววตาของไป๋โม่เสวี่ยจับจ้องมาราวกับมองขยะชิ้นหนึ่ง
ขยะ?
“เจ้าไม่ได้ตกหลุมพรางกลลวงข้าหรือ?!”
ชายในชุดดำเผยความตื่นตระหนก
แต่มันสายเกินไปแล้ว ลำแสงสองลำพุ่งออกจากดวงตาของไป๋โม่เสวี่ย มันทะลุกลับเข้าสู่คันฉ่องและทะลุเข้าดวงตาของชายชุดดำอย่างแม่นยำ
“ก็แค่ทักษะเล็กน้อยไม่มีอะไรน่าสนใจ”
ไป๋โม่เสวี่ยเผยสีหน้าเย็นชา มองคนในคันฉ่องพร้อมกล่าวต่อไปว่า
“เจ้าคงจะอยู่ในโลกนี้มานานและเคยชินกับการกลั่นแกล้งผู้คนด้วยการฝึกฝนของตน ดังนั้นเจ้าจึงมีภาพลวงตาว่าทักษะการล่อลวงผู้อื่นของตนนั้นทรงพลัง แต่ความจริงแล้ว… ทักษะของเจ้าไม่ต่างอะไรกับโจรล้วงกระเป๋า”