ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 613 ชั้นใต้ดิน
บทที่ 613 ชั้นใต้ดิน
บทที่ 613 ชั้นใต้ดิน
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว อาจารญ์หญิงทั้งสองจึงมองหน้ากันพร้อมเผยรอยยิ้มประหลาด
“นักเรียนหลี่ลี่ เจ้าคิดฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์หรือ?”
อาจารย์หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาโอบไหล่ของหลี่ลี่พร้อมกล่าวถาม
“ที่อาจารย์กล่าวออกมานั้นไม่ถูกต้อง…”
หลี่ลี่ก้าวถอยหลังพร้อมสะบัดมือของสตรีที่อยู่บนไหล่ออก
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านไม่ใช่อาจารย์ของข้า…”
“โอ้ สาวน้อย ปกติเจ้าจะขี้อายและไม่กล้าขัดขืน แต่เวลานี้กลับเผยความระมัดระวังตัวขึ้นมา”
เมื่อเห็นว่าหลี่ลี่ถอยออกไป สตรีทั้งสองถึงกับตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ เผยยิ้มชั่วร้าย
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คำสั่งของนายท่านนั้นเด็ดขาด เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธีการหยาบคายเพื่อบังคับให้เจ้าเดินตามเส้นทางที่เราวางไว้”
สตรีทั้งสองเปิดเผยพลังปราณในร่างกายออกมา ลมกรรโชกพัดเอาเศษใบไม้ กระดาษ และขยะบนทางเดินของสำนักคละคลุ้ง ความกดดันถาโถมเข้าที่ไหล่ของหลี่ลี่จนหนักอึ้ง
พวกนางคือผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ
ในใจของหลี่ลี่สั่นไหว ความจริงแล้วนางมากด้วยพรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเรียนนั้น แม้การเข้าสู่ขั้นกลั่นลมปราณก็ยังถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบทั้งสองนี้ได้
“แต่ข้าไม่ยินยอม!”
หลี่ลี่เอ่ยก่อนจะใช้ฝ่ามือที่สำนักสั่งสอนมา
“เพื่อสหายร่วมชั้นโม่เสวี่ย!”
ชัยชนะหรือพ่ายแพ้คือตัวกำหนด
แม้หลี่ลี่จะพยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมสติ แต่พลังของนางยังนับว่าอ่อนแอ นางยืนหยัดได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบ เวลานี้นางหมดสติและถูกอาจารย์หญิงทั้งสองลากเข้าสู่โรงฝึก
ในช่วงเวลาเกือบพลบค่ำ นักเรียนส่วนใหญ่ภายในสำนักกลับบ้านแล้ว และผู้ที่อยู่ในสำนักไม่ค่อยอยู่ในเส้นทางนี้นัก หลี่ลี่จึงถูกอาจารย์หญิงทั้งสองอุ้มขึ้นบ่าเดินตรงไปถึงโรงฝึก เมื่อมาถึงแล้วทั้งอาจารย์และศิยษ์ภายในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ตื่นตระหนกกับภาพตรงหน้าแต่อย่างใด
ทั้งหมดไม่คิดสนใจ
อาจารย์หญิงทั้งสองเข้าสู่ห้องอุปกรณ์ภายในโรงฝึก หยิบเสื่อที่มุมห้องขึ้นมาก่อนจะเปิดประตูเหล็กบนพื้นเพื่อเปิดเส้นทางลงสู่ใต้ดิน
หลี่ลี่ลืมตาขึ้นในเวลานี้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ พลังปราณที่แท้จริงในร่างกายอ่อนแอจนแทบจะไม่เหลือสิ่งใด
นางทำได้เพียงมองดูอาจารย์หญิงทั้งสองพานางเดินไปเรื่อย ๆ และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
ขณะอยู่บนทางเดิน มีลำแสงเปล่งประกายออกจากด้านล่าง ทั้งยังมีเสียงคร่ำครวญแปลกประหลาด มันฟังดูคล้ายกับสตรีที่กำลังหอบอย่างหนัก ปกติแล้วหากหลี่ลี่ได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของนางคงแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่เวลานี้นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะสนใจเรื่องพวกนั้น
อาจารย์หญิงทั้งสองพานางเข้าสู่ห้องใต้ดิน เมื่อประตูห้องใต้ดินเปิดออก หลี่ลี่จึงมองเห็นสถานการณ์ภายในที่ไม่ค่อยน่ารับชมนัก
ห้องใต้ดินเต็มไปด้วยเทียนสีแดง แสงเทียนสลัว มันส่องผนังที่มีโลหิตเปรอะเปื้อน บนผนังมีอาวุธที่เพียงได้เห็นก็เย็นวาบไปทั่วร่างกาย ตัวอย่างเช่น แส้ กุญแจมือ ค้อน และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่น่าหวาดกลัว
มันเป็นฉากที่ควรจะได้พบเจอในหนังที่น่าตื่นเต้นเท่านั้น หรือสมควรเป็นเพียงเรื่องราวในจินตนาการ
ร่างของหลี่ลี่ห้อยอยู่บนบ่าของอาจารย์หญิง และสายตาของนางก็ยังพร่ามัว ทั้งร่างกายก็ยังอ่อนแรงมาก ทว่านางอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเมื่อพบเจอใบหน้าคุ้นเคยมากมายภายในห้องขังใต้ดิน
“ไม่ต้องกลัว”
ราวกับสัมผัสได้ถึงการสั่นสะท้านของหลี่ลี่ อาจารย์หญิงที่อุ้มนางเอาไว้จึงเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“ที่นี่เต็มไปด้วยความสุข ดูใบหน้าของพวกนางสิ ไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดแม้แต่น้อย”
“นายท่านของข้าทรงพลังยิ่ง”
อาจารย์หญิงอีกคนหนึ่งกล่าวเสริมว่า
“ไม่ช้าเจ้าก็จะชื่นชอบสถานที่แห่งนี้และกลายเป็นสหายของพวกเรา”
อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขากล่าวเช่นนั้น หลี่ลี่ยิ่งหวาดกลัวและสิ้นหวัง แต่จู่ ๆ กลับมีบางสิ่งผุดขึ้นในความคิดของนาง
อาจารย์หญิงทั้งสองคล้ายกับรู้ว่านางกำลังรอใครบางคนที่หน้าสำนัก และยังเดินตรงเข้ามาหาตนโดยตรง อย่างไรแล้วสาเหตุที่นางยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักเพราะไป๋โม่เสวี่ยถูกอาจารย์ใหญ่เรียกตัวไป
ไป๋โม่เสวี่ยไปที่ห้องพักอาจารย์ใหญ่ และอาจารย์หญิงสองคนนี้ตรงเข้ามาหานางโดยบังเอิญ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจารย์ใหญ่ผู้เย็นชาไร้รอยยิ้มนั่นกับไป๋โม่เสวี่ยจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น?
อาจารย์ใหญ่เป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นก่อสร้างรากฐาน และยังมีอำนาจมากภายในโลกใบนี้ แม้ว่าไป๋โม่เสวี่ยจะแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้แน่นอน
“โม่เสวี่ย…”
เวลานี้หลี่ลี่อุทานออกมาอย่างแผ่วเบา
“ฮ่าฮ่า ถึงเวลานี้เจ้าก็ยังนึกถึงผู้อื่น ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงามอะไรเช่นนี้”
อาจารย์หญิงด้านข้างพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ
“ไม่ ดูเหมือนมันจะมีความผูกพันธ์แฝงอยู่ในน้ำเสียงนี้ไม่น้อย สาวน้อย เจ้าชอบไม้ป่าเดียวกันงั้นหรือ?”
“โอ้ เป็นประเภทไม้ป่าเดียวกันหรอกหรือ?”
อาจารย์หญิงอีกคนหัวเราะพร้อมกล่าวต่อ
“ข้าได้ยินว่านายท่านชื่นชมความงามของนักเรียนใหม่มาก หากเจ้ายอมทำงานอย่างหนัก บางทีนายท่านอาจจะยอมให้เจ้าทั้งสองร่วมเตียงกันได้”
มีความปรารถนาอยู่ในคำพูดของสตรีทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าทักษะการฝึกตนปีศาจนั้นแทรกซึมลึกในจิตใจพวกนางแล้ว
หลี่ลี่รู้สึกสิ้นหวัง
“เอาล่ะ นี่คือเตียงของเจ้า”
อาจารย์หญิงทั้งสองพานางไปที่เตียงนุ่มสีกุหลาบด้านในสุดแล้วโยนนางลงบนเตียง
“เดี๋ยวให้เจ้าพักผ่อนสักพัก หลังจากปรับตัวได้แล้วค่อย…”
ตูม!
ประตูห้องใต้ดินที่เคยปิดสนิทถูกเปิดออกกะทันหันจากด้านนอก กลุ่มคนหลั่งไหลเข้าสู่ภายใน
“บัดซบแล้ว กลุ่มทำภารกิจจากแดนเซียน!”
สตรีที่คล้ายกับเป็นผู้นำกลุ่มตะโกนขึ้นมา
“ทุกคนหมอบลงและวางมือไว้หลังศีรษะ!”
“บัดซบแล้ว!”
อาจารย์หญิงทั้งสองขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น
“พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร? ออกไปเสีย!”
ทั้งสองเดินตรงเข้าหาผู้มาเยือนและร่วมมือกันโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
สตรีผู้มาใหม่ไม่คิดแม้แต่จะสนใจ นางเหยียดมือตบอีกฝ่ายอย่างไม่แยแส อาจารย์หญิงขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบกระเด็นออกไปไกลจนร่างกายฝังอยู่บนผนังของห้อง
หลังจากนั้น ทั้งหมดจึงช่วยเหลือคนที่อยู่ในห้องใต้ดิน หลี่ลี่สังเกตว่าบางคนกำลังถือคำภีร์ประหลาดเพื่อล่อลวงจิตใจของเหยื่อ และเหยื่อบางคนคล้ายกับตกอยู่ในสภาวะสับสน พวกนางกรีดร้องและร่ำไห้ออกมาอย่างสิ้นหวังและน่าสมเพช
เมื่อสตรีผู้มีความสามารถมาหยุดยืนต่อหน้าหลี่ลี่ อีกฝ่ายก็พยุงร่างของนางขึ้นพร้อมกุมมือนางเอาไว้แน่น
หลี่ลี่สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากมือของอีกฝ่าย มีความร้อนบางอย่างไหลเข้าสู่คฤหาสน์สีม่วงของนาง มันเติมเต็มพลังปราณแก่นแท้ในร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว แล้วยังช่วยฟื้นฟูพลังวิญญาณอีกด้วย
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หญิงสาวถามออกมาอย่างห่วงใย
“ข้าดีขึ้นแล้ว”
หลี่ลี่รวบรวมสติพร้อมถามออกไปว่า
“ท่านคือใครหรือ?”