ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 616 วิถีสวรรค์ผู้แข็งแกร่งและน่าอับอาย
บทที่ 616 วิถีสวรรค์ผู้แข็งแกร่งและน่าอับอาย
บทที่ 616 วิถีสวรรค์ผู้แข็งแกร่งและน่าอับอาย
แม้หลี่ลี่จะอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ แต่นางก็เป็นผู้ฝึกตนแล้วเช่นกัน จึงมีสามัญสำนึกเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ
สำหรับเรื่องของวิถีสวรรค์ ผู้ฝึกตนทุกคนจะได้สัมผัสกับแนวคิดของมันตั้งแต่แรกเริ่มของการฝึกฝน
ท้ายที่สุดนั้น จิตใจของผู้ฝึกตน พรสวรรค์ โชคลาภ รวมไปถึงหายนะในอนาคต ล้วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีสวรรค์ กล่าวกันว่านี่คือกฎแห่งสวรรค์และโลก สูงส่งจนผู้ฝึกตนสามัญไม่อาจจินตนาการถึงมันได้
แต่สำหรับเรื่องนี้ สองพี่น้องยังคงแสดงออกอย่างราบเรียบ
เดิมทีหลี่ลี่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทราบว่านางคือผู้มีอำนาจ แต่หลังจากเห็นท่าทีของไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียงแล้ว นางจึงกลายเป็นผ่อนคลายและเยือกเย็นตามไปด้วย
หลังจากที่นางสงบลงอย่างสมบูรณ์ ไป๋ซวี่เซียงจึงจิบชาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ใจเย็นแล้วหรือยัง?”
“อื้ม”
ความตื่นเต้นในใจลดลงแล้ว และนางกลับมาเป็นเด็กสาวผู้เรียบร้อยอีกครั้ง นางชำเลืองมองสองพี่น้องอย่างระมัดระวังพร้อมกล่าวถามคำเบา
“แล้วทำไมพวกเจ้าทั้งสองจึงไม่ตื่นเต้นหลังจากได้ยินนามของวิถีสวรรค์? วิถีสวรรค์มิใช่ว่าแข็งแกร่งมากหรอกหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซียนมีพลังเหนือกว่าวิถีสวรรค์?”
“ในปัจจุบันมีเซียนไม่มากนักที่มีอำนาจเหนือว่าวิถีสวรรค์ อ่า… น่าจะมีเพียงสองคนเท่านั้น”
ไป๋ซวี่เซียงชูนิ้วขึ้นมา
“แต่มีผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานที่มีพลังเหนือกว่าวิถีสวรรค์”
“ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานที่มีอำนาจเหนือกว่าวิถีสวรรค์ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
เหงื่อเย็นเฉียบหลั่งออกจากรูขุมขนของหลี่ลี่
“อื้ม ถูกต้องแล้ว”
ไป๋ซวี่เซียงหดนิ้วมือลงก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เป็นท่านพ่อของข้า!”
“กล่าวตามตรง วิถีสวรรค์มากด้วยพลัง โดยเฉพาะวิถีสวรรค์ในแดนเซียน นั่นสมควรเป็นเจตจำนงที่แข็งแกร่งที่สุดของวิถีสวรรค์ในห้วงแห่งความว่างเปล่าในยามนี้ พลังของมันอยู่เหนือการเข้าถึงของน้องชายข้าและตัวข้า”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวอย่างใจเย็นขณะวางถ้วยชาลง
“อ่า จะกล่าวอย่างไรดี… หลี่ลี่ หากเจ้าได้ออกจากสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งคราว เจ้าจะได้พบกับบิดาของตนเองถือพัดขนนกที่ดูสง่างามอยู่เสมอ แต่บางครั้งเขาผู้นั้นก็ถูกทุบตีจนต้องนั่งยอง ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ หากได้พบเจอเช่นนั้น เจ้าคงไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อเขานัก และยังจะละอายใจเสียอีกที่ต้องอดทนมองดู…”
“นั่นหมายความว่า…”
หลี่ลี่พึมพำ
“ในสายตาของโม่เสวี่ยและแม่นางซวี่เซียง ข้าผู้เป็นวิถีสวรรค์กลับชาติมาเกิดนั้นคือเรื่องที่น่าละอายใจหรือไม่?”
ไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียงมองหน้ากันสักครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ
เวลานี้หลี่ลี่เพียงรู้สึกว่าจิตใจถูกความโศกเศร้าถาโถมอย่างหนักและไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
“อย่างไรก็ตาม แม้ในสายตาของพวกเราแล้ววิถีสวรรค์จะเป็นสิ่งที่น่าละอายใจ แต่ในสายตาของเซียนคนอื่นและโลกวัตถุใบเล็กนี้ เจตจำนงวิถีสวรรค์ล้วนแต่เป็นที่โปรดปราน”
ไป๋ซวี่เซียงกล่าวต่อ
“ผู้ฝึกตนปีศาจหลายคนชอบให้ความสำคัญกับเรื่องเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะบิดาเจ้าปัญหาของข้า วิถีสวรรค์ในโลกวัตถุนั้นจะต้องเลือกเส้นทางการเกิดใหม่ในวิถีมนุษย์”
“ทำไม?”
หลี่ลี่กล่าวถาม
“เพราะโดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าวิถีสวรรค์ในโลกวัตถุขนาดเล็กและกลางจะไม่สามารถรบกวนโลกภายนอกได้ แต่ก็เป็นเจตจำนงที่แทบจะเข้าสู่ขั้นอมตะ ไม่อาจมองเห็น แต่แข็งแกร่ง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงจักรพรรดิเซียนเท่านั้นที่อยู่ในจุดสูงสุด เป็นไปได้ที่พวกเขาจะต่อต้านเจตจำนงของวิถีสวรรค์รูปแบบสมบูรณ์ภายในโลก แต่อย่างไรก็ไม่อาจกำจัดหรือหาสิ่งอื่นมาแทนได้”
ไป๋โม่เสวี่ยอธิบายต่อ
“อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะวิถีสวรรค์ในแดนเซียนค่อนข้างแข็งแกร่ง รอยเท้าของมันแผ่ขยายออกไปในห้วงแห่งความว่างเปล่าพร้อมกับขอบเขตอิทธิพลของแดนเซียน อีกทั้งยังมีสุนัขเทพหุ่นกลสองตัวคอยช่วยเหลือมันด้วย เจตจำนงของวิถีสวรรค์ในหลาย ๆ โลกที่พัฒนาขึ้นโดยวิถีสวรรค์ในแดนเซียนจะเลือกละทิ้งตัวตนก่อนจะกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ก่อนที่มนุษย์คนนั้นจะถูกวิถีสวรรค์แห่งแดนเซียนยึดครองร่างกาย และด้วยการทำเช่นนี้ยังสามารถกำจัดโซ่ตรวนสวรรค์ กลายเป็นร่างที่อิสระและเดินทางในห้วงแห่งความว่างเปล่าได้”
“มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการทำเช่นนี้ ข้อดีคือเจตจำนงของวิถีสวรรค์ที่ไม่มีอิสระจะได้รับอิสรภาพ และทุกสิ่งก็ต้องเกิดใหม่เป็นมนุษย์ แต่ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ตกเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนปีศาจได้ง่าย หลังจากพวกมันใช้วิธีชั่วร้ายเพื่อจับเจตจำนงของวิถีสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดมาเซ่นสังเวย ผู้ฝึกตนปีศาจจะสามารถใช้เจตจำนงของวิถีสวรรค์กลับชาติมาเกิดอย่างผิดธรรมชาติได้ ซึ่งทำให้วงจรสังสารวัฏถูกย้อนกลับหากใส่เจตจำนงของวิถีสวรรค์ของตนลงในร่างมนุษย์ก่อนจะกลายเป็นวิถีสวรรค์หรือเซียนผู้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้เจตจำนงของวิถีสวรรค์”
ไป๋ซวี่เซียงถอนหายใจพร้อมกล่าวต่อ
“ซึ่งปาฏิหาริย์นี้ไม่อาจใช้ได้ทุกคน ผู้ที่สามารถใช้มันได้โดยพื้นฐานล้วนแต่อยู่เหนือขอบเขตเซียน และคนที่จ้องมองเจ้าอยู่คือผู้ฝึกตนปีศาจขั้นเซียน ด้วยวิธีการของเขาแล้ว ข้าเกรงว่าหลังจากที่มันจับกุมเจ้าได้ มันจะทำสิ่งที่เลวร้ายกับเจ้า”
หลี่ลี่นึกถึงสิ่งที่นางได้เห็นในห้องใต้ดินของโรงฝึก ก่อนที่เส้นขนทุกเส้นจะลุกชัน
“แล้วทำไมท่านพ่อของพวกเจ้าจึงพัฒนาคาถานี้ขึ้นมา?”
หลี่ลี่กล่าวถาม
“ในคราวแรก เขาพัฒนาสิ่งนี้เพื่อทำให้วิถีสวรรค์ในแดนเซียนหวาดกลัวเท่านั้น”
ไป๋ซวี่เซียงตอบกลับ
“แต่คนชั่วร้ายมักจะมีความคิดหลากหลายรูปแบบ และสามารถใช้สิ่งที่เป็นความดีมาเพิ่มเติมความชั่ว เราไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เวลานี้พวกเราจึงพยายามอย่างหนักเพื่อไล่ล่าพวกมัน ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการล้างก้น *[1] ให้ท่านพ่อด้วย”
หลี่ลี่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างว่างเปล่า
“เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าในทุกสิ่งที่สมควรบอกแล้ว และยังมีเรื่องมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ที่ถูกกล่าวออกไปด้วย”
ไป๋ซวี่เซียงชี้ปลายจมูกของหลี่ลี่พร้อมกล่าวต่อ
“เจ้าควรจะพอใจแล้วใช่หรือไม่? หากพอใจแล้ว มารับฟังแผนการของข้าเสีย”
หลี่ลี่พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ฐานการฝึกฝนของผู้ฝึกตนปีศาจยังไม่เพียงพอ และเขาไม่สามารถพลิกแผ่นฟ้าได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้ตัวตนของเจ้าเพื่อสร้างอำนาจให้กับตนเอง เขาจะจับกุมเจ้าเพื่อเซ่นสังเวยโลหิตในวันที่สิบห้าเดือนหน้า ฮี่ฮี่ฮี่ ตราบใดที่เราปกป้องเจ้าอย่างดีจนถึงวันที่สิบห้า แผนการของชายผู้นั้นจะล้มเหลว!”
ไป๋ซวี่เซียงส่ายนิ้วไปมาก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าขอให้โม่เสวี่ยออกจากบ้านเพื่อปกป้องเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าเจ้าจะไปหรือกลับจากสำนัก แม้แต่เข้าห้องน้ำก็ตาม ก็ต้องให้เขาติดตามไปด้วย”
“อะไรนะ?”
หลี่ลี่เผยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะเหลือบมองไป๋โม่เสวี่ย
“ขะ… เข้าห้องน้ำด้วยหรือ?”
“ไร้สาระ!”
ไป๋ซวี่เซียงกลอกตาไปมาก่อนจะกล่าวว่า
“ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะให้เขาใส่กระโปรงเพื่ออะไร?”
หลี่ลี่ก้มศีรษะลงก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว
“ข้านึกว่ามันเป็นเพียงรสนิยมห่วย ๆ ของเจ้าเอง…”
“แค่ก ๆ”
ไป๋ซวี่เซียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำของหลี่ลี่ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม
“กล่าวสั้น ๆ ก็คือในช่วงเวลานี้ให้โม่เสวี่ยปกป้องเจ้าเป็นการส่วนตัว ข้าเช่ารังรักให้พวกเจ้าแล้วนอกสำนัก เจ้าจะต้องอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่สิบห้าของเดือนหน้า”
“โอ้!”
หลี่ลี่พยักหน้าก่อนจะเข้าใจเรื่องราวทันที
“เช่นนั้นก็หมายความว่าข้ากับโม่เสวี่ยจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างนั้นหรือ?!”
[1] ล้างก้น เปรียบเปรยถึงการสะสางปัญหาที่ค้างคาหรือตามมาจากการกระทำบางอย่าง