ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 62 สํานักเสวียนฝ่า
เมื่อกลับมายังเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ไป๋ชิวหรานกับหวงฝู่เฟิงเลือกที่จะแยกย้ายกันไป
ในเวลานี้ชายหนุ่มไม่สนใจการต่อสู้ของสำนักอีกต่อไป เขาแบ่งภาพของแผ่นหิน แผ่นศิลา และพลังงานที่เก็บไว้ในหินวิญญาณที่ว่างเปล่า ปล่อยให้หวงฝู่เฟิงนําตนกลับไปที่สำนักผู้ฝึกตนฝ่ายมารเพื่อศึกษาพร้อมเดินทางไปที่สำนักเสวียนฝ่าที่เชี่ยวชาญด้านทักษะสูงสุดในห้าพันธมิตรฝ่ายธรรม
สำนักงานใหญ่ของสํานักเสวียนฝ่าตั้งอยู่ในเมืองเหลียงโจว ต่างจากสํานักอื่นที่ก่อตั้งสํานักงานใหญ่ในพื้นที่สูง สํานักงานใหญ่ของสํานักเสวียนฝ่าตั้งอยู่ในแอ่งน้ำ โดยมีภูเขาโอบล้อมโดยรอบกับค่ายกลที่ซับซ้อนอันหนาแน่น เต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย แสดงให้เห็นถึงบุคลิกที่สันโดษและน่าเกรงขามของเหล่าปรมาจารย์ในสํานักเสวียนฝ่า
หลังจากแสดงจี้หยกซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักกระบี่ชิงหมิงให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูดู ไป๋ชิวหรานจึงถูกนําตัวไปที่ห้องรับรองเพื่อรอให้ศิษย์คนนี้นําจี้หยกของตนไปรายงานตัว
จากนั้นไม่นาน ศิษย์คนนั้นเดินกลับมาพร้อมคืนจี้หยกให้ด้วยความเคารพ
“ท่านผู้อาวุโส ข้าต้องขออภัย ท่านอาจารย์ใหญ่คงไม่มีเวลาพบท่าน”
“ไม่มีเวลาพบงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาปริบ
“ข้าจําได้ว่าเขาฝึกวิชาเทพเซียนแปลงกายเป็นร่างแยกจนบรรลุถึงขั้นเปลี่ยนร่าง หากร่างจริงไม่สะดวก… จะไม่สามารถส่งร่างแยกมาแทนได้?”
“ท่านอาจารย์ใหญ่บอกว่าร่างแยกกําลังทําการศึกษาที่สําคัญมาก….”
“แล้วคนที่เจ้าพบคือใคร?”
“…”
ใบหน้าของศิษย์ผู้นี้แสดงออกถึงความลําบากใจ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขามองไปรอบ ๆ พร้อมกระซิบไป๋ชิวหราน
“เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโส แท้จริงแล้วอาจารย์ใหญ่ไม่ต้องการพบท่าน อีกทั้งยังบอกอีกว่าการที่ท่านมายังสำนักเสวียนฝ่าเพื่อตามหาเขาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานหยิบหินที่บันทึกผลกระทบของแผ่นศิลาออกมาพร้อมโยนทิ้งไปก่อนจะจงใจพูดเสียงดัง
“ในเมื่อท่านชิวอวี้ซวน เจ้าสำนักเสวียนฝ่าไม่ต้องการพบข้า เช่นนั้นสำนักเล็ก ๆ ที่ไม่มีทักษะอย่างพวกเราคงต้องพึ่งพาตัวเองในการศึกษาพลังเซียนปฐพีและค่ายกลบนศิลาแผ่นนี้ ไม่รู้ว่าสำนักหยกเซียนเฉิงกับสำนักเถียนเชิงจะสนใจหรือไม่…”
เขาพูดพลางหมุนตัวเดินออกจากห้องรับรองไปยังประตูใหญ่ของสํานักเสวียนฝ่า หลังเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว ภายในสํานักเสวียนฝ่ามีเสียงตะโกนอย่างลนลานดังขึ้น
“ช้าก่อน!”
เสียงระเบิดดังกึกก้อง กลุ่มฝุ่นควันลอยอยู่เต็มท้องฟ้า เงาหลายร่างวิ่งพุ่งเข้ามาหาไป๋ชิวหรานจากภายในสํานักเสวียนฝ่า พวกเขาสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามล้วนสวมแว่นสีทองเหมือนกันหมด
กลุ่มชายที่มีใบหน้าเหมือนกันวิ่งไปหาไป๋ชิวหรานพร้อมล้อมรอบเขาไว้ ต่างพากันกอดต้นขาของไป๋ชิวหรานแล้วส่งเสียงตะโกนใส่
“ท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง โปรดนำศิลานั่นมาให้ข้าเถิด!”
“ท่านอาจารย์ใหญ่ชิวอวี้ซวน”
ไป๋ชิวหรานจ้องมองร่างจริงพร้อมร่างอวตารมากมายของเขาก่อนจะกล่าว
“ท่านศึกษาบางอย่างจนไม่มีเวลาพบข้าไม่ใช่หรือ?”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย ท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงมาหาข้าทั้งที จะปฏิเสธการพบหน้าได้อย่างไร?”
ชิวอวี้ซวนมองไปยังศิษย์ของตนด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าใส่ร้ายข้าลับหลังงั้นหรือ?”
ศิษย์คนนั้นตกใจจนรีบยกมือโบกพัลวัน
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าเปล่านะขอรับ ไม่ใช่ข้า!”
“เรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้นช่างมันเถิด ท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงศิลานั่นอยู่ที่ใดกัน?”
ชิวอวี้ซวนหลายสิบร่างยื่นมือให้ไป๋ชิวหราน เผยให้เห็นถึงความหิวกระหาย
“ขอข้าดูทีเถิด”
“ท่าทางของท่านในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสุนัขเห็นกระดูก… ช่างเถิด”
ไป๋ชิวหรานโยนศิลากับหินวิญญาณเปล่าให้กับร่างจริงของชิวอวี้ซวน
“เรื่องนี้สำคัญมาก จะไม่พูดพล่าม จารึกบนแผ่นศิลาถูกแปลโดยผู้อาวุโสฝูอวิ๋นจื่อแหล่งสำนักกระบี่ชิงหมิงแล้ว สำนักเสวียนฝ่ามีทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด… หวังว่าท่านคงวิเคราะห์ได้นะว่า พลังพร้อมสภาพการทำงานของค่ายกลและหินวิญญาณเปล่านี้คืออะไร หลังจากทราบแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะแจ้งให้เราทราบ”
“แน่นอน”
ชิวอวี้ซวนรับของล้ำค่าทั้งสองอย่างมา จากนั้นแต่ละร่างที่เมื่อครู่กรูกันเข้าหาไป๋ชิวหรานต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง
“ข้าจะเรียกเหล่าผู้อาวุโสพร้อมศิษย์แห่งสำนักมาเพื่อร่วมกันวิเคราะห์สองสิ่งนี้”
“ข้าฝากท่านด้วย”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าให้ชิวอวี้ซวน แม้เขาจะไร้มารยาทก่อนก็ตาม แต่ในฐานะเจ้าสํานักเสวียนฝ่า ตัวแทนของห้าพันธมิตรฝ่ายธรรม ผู้นําความสามารถด้านการศึกษาและความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีใครในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเทียบได้
“ข้าจะกลับไปยังสำนักกระบี่ชิงหมิงก่อนเพื่อดูว่า… ตลอดสองวันที่ผ่านมามีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นหรือไม่ หากพบข้อสรุปแล้ว ท่านให้คนมาแจ้งข้ายังสำนักได้”
หวงฝู่เฟิงกลับมายังสำนักอสูรสวรรค์พร้อมกับหินเงาและพลังที่เขาเลียนแบบมา
ความเร็วของเขาช้ากว่าไป๋ชิวหรานเล็กน้อย แต่ยังถือว่าว่องไวมาก เมื่อไป๋ชิวหรานส่งมอบสิ่งของให้กับสํานักเสวียนฝ่าจนกลับมาถึงสำนักกระบี่ชิงหมิง ตนจึงรีบไปยังสำนักอสูรสวรรค์ทันที
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดและอดีตประมุขนิกาย หวงฝู่เฟิงพูดได้ดีกว่าไป๋ชิวหราน เขาสั่งให้คนเรียกจี้หลิงอวิ๋นพร้อมหยิบหินวิญญาณออกมาก่อนจะถาม
“ในสำนักอสูรสวรรค์ ผู้ใดเชี่ยวชาญเรื่องพลังงานและค่ายกล?”
“ผู้ใดเชี่ยวชาญเรื่องพลังงานและค่ายกล?”
จี้หลิงอวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว
“หากพูดถึงบุคคลคงมีเพียงไม่กี่สำนัก แต่ในสำนักอสูรสวรรค์ไม่มีผู้ใดเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทุกคนล้วนศึกษาวิชามารและค่ายกลแห่งสํานักของตน กระบี่ทลายเทพ ท่านก็เป็นคนคิดค้นขึ้นมาเองไม่ใช่หรือ? จริงอยู่ที่สำนักอสูรสวรรค์เคยกล่าวว่า เราทุกคนเป็นพันธมิตรกัน ต่างต้องคอยปกป้องดูแลกัน แต่ใครเล่าจะสนใจศึกษาค่ายกลให้สำนักอื่น? ไม่กลัวการถูกแย่งชิงหลังได้ผลการศึกษาหรือ?
“เป็นเช่นนี้เอง…”
หวงฝู่เฟิงครุ่นคิด
“หลิงอวิ๋น ข้าคิดว่าพวกเราควรนั่งนึกทบทวน เหตุใดตลอดสามพันปีมานี้ความชั่วจึงไม่อาจข่มเหงผู้ชอบธรรมได้… หลังจากบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาไปยังสำนักเสวียนฝ่าโดยไม่ลังเล”
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง หวงฝู่เฟิงได้สติกลับมาพร้อมสั่งการ
“เช่นนี้แหละ หลิงอวิ๋น เจ้ารวบรวมทุกคนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้ในสํานักแล้วส่งไปยังสํานักเหอฮวนกับสำนักวิญญาณหยิน บอกซูเซียงเสวี่ยว่าเราค้นพบเรื่องอนาคตของผู้ฝึกตนเวทมนตร์แล้ว ขอให้พวกเขาส่งคนจากสำนักของตนที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาศึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน”