ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 624 ไป๋โม่เสวี่ยล่อลวงจิตใจ
บทที่ 624 ไป๋โม่เสวี่ยล่อลวงจิตใจ
บทที่ 624 ไป๋โม่เสวี่ยล่อลวงจิตใจ
หลินฉีเยว่เดินออกจากห้องเรียนท่ามกลางเสียงทักทายจาก ’หญิงสาว’ พร้อมด้วยสายตาอิจฉาปนชื่นชมรอบกาย
นับตั้งแต่เข้าสู่สำนักเมื่อสองปีก่อน นางกลายเป็นผู้โดดเด่นในสำนักแห่งนี้ ฉายาของนางจากที่เคยเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย กลายเป็นเทพธิดาอย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ ไม่เคยสนใจในตัวนางลดลงเลย สถานการณ์ดำเนินไปด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสนใจที่นางเคยได้รับกลับเปลี่ยนไป ‘สาวก’ จำนวนมากของนางได้พบกับความงามที่สดใหม่กว่า
คราวแรกหลินฉีเยว่ไม่พอใจเรื่องนี้นัก แต่เมื่อนางได้พบกับคนผู้นั้นโดยตรง นางก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าสนใจ
เมื่อเทียบกับบุรุษผู้นั้นที่จะยึดครองโลกและกลายเป็นเป้าหมายของเหล่าทวยเทพ การเลื่อนระดับขึ้นลงในสำนักนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงแต่ว่าภายในสำนักแห่งนี้ นางยังต้องรักษาสถานภาพของตนเองเอาไว้ ดังนั้นในช่วงเวลาพักกลางวัน นางจะแปรงผมสีทองของตนเอง พร้อมกับเดินตรงสู่สนามหญ้านอกอาคารเรียน
นางคิดว่านางแตกต่างจากผู้อื่น เช่นนี้จึงไม่คิดอยากรับประทานอาหารร่วมกับใคร แล้วภายในสนามหญ้าหรือสวนหย่อมของสำนักเป็นสถานที่เฉพาะของนางเท่านั้น
หลินฉีเยว่มาถึงมุมที่เงียบสงบของสวนหย่อม นั่งลงบนหินและเปิดกล่องอาหารกลางวันที่ห่อไว้ด้วยผ้าปักลายดอกไม้ นางตระเตรียมทุกสิ่งด้วยตนเองพร้อมที่จะเพลิดเพลินไปกับมัน
แต่เมื่อยกตะเกียบขึ้น เสียงดนตรีไพเราะกลับดังก้องอยู่ในหูของนาง
เสียงไพเราะเหล่านั้นมันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสิ่งที่นางเคยได้รับฟังมาก่อน และดูเหมือนว่าภายในเสียงเหล่านี้จะมีมนตร์เสน่ห์บางอย่าง ที่ทำให้หลินฉีเยว่หยุดทุกการเคลื่อนไหวและหันหน้าไปตามทิศทางของเสียง
จากนั้นนางจึงเห็นรูปร่างสง่างามและสมบูรณ์แบบยืนอยู่บนทางเดินชั้นสองระหว่างอาคารเรียนสองแห่ง ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเล่นกู่เจิง
“งดงาม…”
แม้แต่สตรีอย่างหลินฉีเยว่ที่รักตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด ความนับถือตนเองอย่างแข็งแกร่งพังทลายลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว และในใจแอบรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยกว่าอย่างอดไม่ได้
เวลาผ่านไป หลินฉีเยว่ดื่มด่ำกับความงามของอีกฝ่ายพร้อมกับเสียงดนตรีไพเราะ โดยนางไม่คิดแม้แต่จะขยับตะเกียบในมือ จนกระทั่งเสียงระฆังสิ้นสุดเวลาพักดังขึ้น …นางจึงตื่นขึ้นจากภวังค์อีกครั้ง
หลินฉีเยว่รีบกินอาหารในกล่องด้วยความตื่นตระหนก และมั่นใจมากว่าในสามปีภายในสำนักแห่งนี้ วันนี้เป็นวันที่นางกินอาหารเร็วที่สุด
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว หลินฉีเยว่เก็บกล่องอาหารและได้พบว่าความงามที่กำลังเล่นกู่เจิงก่อนหน้าเดินตรงไปยังห้องเรียนของปีต่ำกว่า นางไม่คิดแม้แต่จะเช็ดปากให้ดีก่อนจะรีบติดตามแล้วตะโกนเรียก
“เจ้า… โปรดรอข้าก่อน!”
อย่างไรก็ตาม ร่างนั้นกลับไม่หยุดฝีเท้าพร้อมกับจากไปในทันที
…
ตอนเย็น ไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่กลับมาที่บ้าน ขณะที่พวกเขากำลังเก็บกระเป๋า ไป๋ซวี่เซียงกระโดดออกมาจากเก้าอี้ไม้ไผ่พร้อมถามขณะเอามือไพล่หลัง
“เจ้าเห็นหลินฉีเยว่หรือยัง? เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้ารู้สึกว่านางค่อนข้างงี่เง่าสักหน่อย”
ไป๋โม่เสวี่ยคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ
“นางเลือกสถานที่สำหรับมื้อกลางวันเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่านางชื่นชอบที่จะเพ้อฝัน นางรู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่และเลิศเลอกว่าผู้อื่นที่เป็นสตรีเช่นเดียวกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด นางคบหากับบุรุษชุดดำผู้นั้น และเวลานี้นางถูกผู้ฝึกตนปีศาจผู้นั้นครอบครองโดยสมบูรณ์แล้ว จิตใจของนางจึงไม่แข็งแกร่งเท่ากับเมื่อก่อน มันมักจะมีความไร้สาระ และอ่อนแอเล็กน้อย… ข้าคิดว่านางก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร”
“อืม ถูกต้องแล้ว”
ไป๋ซวี่เซียงตบบ่าน้องชายของนางด้วยความโล่งใจ
“เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้า แล้วจะใช้เวลานานเท่าใดในการจัดการกับนาง? หรือจะลองไปคิดดูก่อน?”
ไป๋โม่เสวี่ยคิดไตร่ตรอง
“สักหนึ่งสัปดาห์”
“อะไรนะ?”
หลี่ลี่เห็นว่าสองพี่น้องกำลังกล่าวถึงเพศตรงข้าม นางจึงถามด้วยความสงสัย
“แม่นางซวี่เซียง โม่เสวี่ย พวกเจ้าพูดคุยเรื่องอะไรกันหรือ?”
“เรากำลังกล่าวถึงกิ่งก้านของผู้ร้ายคนนั้น”
ไป๋ซวี่เซียงบอกกล่าวกับหลี่ลี่เกี่ยวกับเรื่องของหลินฉีเยว่พร้อมถามว่า
“เวลานี้ข้ากำลังให้คนรักของเจ้าล่อลวงนาง เจ้าคงไม่ว่าอะไร?”
หลี่ลี่มองไป๋โม่เสวี่ยพร้อมกระซิบถาม
“โม่เสวี่ย เจ้าคิดทำเช่นนั้นกับหลินฉีเยว่หรือไม่?”
“ไม่”
ไป๋โม่เสวี่ยส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้ากลัวจะติดโรค”
“งั้นข้าก็ไม่ว่าอะไร”
หลี่ลี่จึงตอบกลับ
“ไม่เป็นไร หากไม่มีเรื่องนั้น”
ไป๋ซวี่เซียงกล่าวด้วยความพอใจ
“น้องชายข้ามักกล่าวว่าข้าขี้โกงเสมอ ไม่รู้ว่าข้าไปโกงเขาตอนไหน”
“ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้ว!”
ไป๋โม่เสวี่ยเหลือบมองด้วยความขุ่นเคือง
…
นับตั้งแต่นางได้พบกับผู้ฝึกตนหน้าใหม่ผู้เล่นกู่เจิงในวันนั้น ตลอดในสองสามวันที่ผ่านมา หลินฉีเยว่รู้สึกต่ำต้อย นางไม่อยากจะดื่มชาหรือกินอาหาร และมันจะดีขึ้นเมื่อนางไปพบกับชายชุดดำ ด้วยการทำกิจกรรมบางอย่างมันอาจจะทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้น
นางไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้ พร้อมบอกกล่าวทั้งหมดให้เขาฟัง ชายชุดดำจึงร่ายเวทบางอย่างใส่นางให้นางหลุดพ้นจากสภาวะหดหู่ได้ชั่วคราว
แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์ของหลินฉีเยว่ก็ยังไม่ได้ดีมากนัก
“ข้าอยากพบนางอีกครั้ง”
หลินฉีเยว่ลูบไล้เครื่องประดับที่เอวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพึมพำชื่อของคนที่นางใฝ่ฝันถึง
“ไป๋โม่เสวี่ย”
ขณะนางกำลังเดินอยู่บนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และชายชุดดำไม่ได้บอกกล่าวให้นางไปพบ วันนี้จึงเป็นวันที่นางได้พักผ่อน
มีเด็กชายผมทองสองสามคนแต่งกายแปลกประหลาดออกมาทักทาย หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะติดตามเด็กชายเหล่านี้เพื่อไปทำเรื่องสนุกสนาน นางต้องการให้เด็กชายเหล่านี้ชื่นชมและโลมเลีย แต่เวลานี้หัวใจของนางเต็มไปด้วยภาพลักษณ์ของไป๋โม่เสวี่ย นางไม่สามารถแม้แต่จะให้ความสนใจกับเด็กชายเหล่านั้น
“ไม่รู้ว่าวันนี้ข้าจะมีโอกาสได้พบเจอเขาหรือไม่…”
หลังจากเดินอยู่บนถนน หลินฉีเยว่อดไม่ได้ที่จะคาดหวัง
ด้วยความช่วยเหลือของผู้ฝึกตนปีศาจ นางเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ และก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่ แต่นางต้องซ่อนระดับการฝึกฝนที่แท้จริงไว้ เพื่อไม่ต้องการให้ผู้อื่นตื่นตระหนก
นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก เพราะความสำคัญคือเมื่อใดก็ตามที่ทะลวงผ่านขอบเขตนั้นจนกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ‘ลางสังหรณ์’ บางอย่างจะถูกปลุกขึ้น ซึ่งพลังลึกลับนี้จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และมันจะค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นตามฐานการฝึกฝน ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใด ลางสังหรณ์ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ในใจของหลินฉีเยว่ลอบรู้สึกถึงลางสังหรณ์ว่า ‘คืนนี้จะได้พบเจอกับไป๋โม่เสวี่ยแน่นอน’ นางรู้สึกว่าความยินดีมันล้นออกมา จึงยิ่งทำให้หัวใจของนางเต้นรัวอย่างตื่นเต้น
ขณะที่เดินตรงเข้าสู่ใจกลางเมือง นางเหลือบมองด้านหลังโดยไม่ตั้งใจ ขาทั้งสองข้างแข็งค้างไม่อาจขยับ
มองผ่านผู้คนมากมายหลายพันในฝูงชน คน ๆ นั้นยืนอยู่ในมุมที่มีเพียงแสงสลัวเจือจาง
ตรงนั้นเด็กสาวสมบูรณ์แบบ เส้นผมสีดำขลับตรงยาวยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ ผู้กำลังมองดูสินค้าตรงหน้าอย่างช้า ๆ ในทุกรอยยิ้มและการขมวดคิ้วของนางยิ่งทำให้หลินฉีเยว่ตื่นเต้นและประทับใจ