ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 632 ข้าคงต้องลงมือก่อนเจ้าแล้วล่ะ!
บทที่ 632 ข้าคงต้องลงมือก่อนเจ้าแล้วล่ะ!
บทที่ 632 ข้าคงต้องลงมือก่อนเจ้าแล้วล่ะ!
ผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ค่ายกลที่ปกป้องพลังงานของโลกแดนเซียนไม่ถูกทำลาย เขาก็ยังสามารถดึงพลังงานของโลกแดนเซียนออกมาฟื้นฟูตนเองได้สบาย ๆ
ซึ่งกระบวนการสร้างค่ายกลที่เขานำมาใช้นั้น เขาเพิ่งจะได้เรียนมาจากโลกแดนเซียนเมื่อไม่นานมานี้เอง และมันต้องใช้วัตถุแห่งวิญญาณหลายชิ้นเพื่อเกิดเป็นค่ายกลผสานวิญญาณ มันคือวิถีการก่อตั้งค่ายกลจากการไหลเวียนของปราณวิญญาณในห้วงแห่งความว่างเปล่า ทำให้มันกลายเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งจนยากจะทำลายด้วยวิธีการใดก็ตาม นอกเสียจากว่าจะสังหารผู้ที่สร้างมันขึ้นมาถึงจะทำลายมันได้
แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ค่ายกลนี้ดันถูกสร้างโดยไป๋ชิวหรานบิดาของไป๋ซวี่เซียงและไป๋โม่เสวี่ย เช่นนั้นก็คงมีเพียงผู้ที่เบื่อหน่ายโลกนี้เต็มทีแล้วเท่านั้นถึงจะกล้าดีประลองฝีมือกับบรรพชนเซียนผู้ก่อตั้งค่ายกลที่ว่านี้
ทักษะสูงส่งหาตัวจับได้ยากเช่นนี้ หากตกไปอยู่ในมือผู้ใด ความแข็งแกร่งของผู้นั้นคงพุ่งทยานฟ้าเหนือกว่าผู้ฝึกตนคนใดในโลกแดนเซียนนี้เป็นแน่ แต่หากมันไปตกอยู่ในมือของผู้ฝึกตนปีศาจ มันจะกลายเป็นเครื่องมือสังหารและสร้างหายนะใหญ่หลวงยิ่งนัก
เดิมทีไป๋ซวี่เซียงและไป๋โม่เสวี่ยไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่ พวกเขาจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเมื่อต้องร่วมมือกัน
แต่ยามนี้กลับมีบางสิ่งขัดขวางกระบวนการดูดกลืนพลังของโลกแดนเซียนของผู้ฝึกตนปีศาจ ซึ่งสาเหตุนั้นก็มีอยู่ว่าผู้ฝึกตนปีศาจที่แปลงร่างเป็นเทพปีศาจกำลังถูกพี่น้องทุบตีอย่างไร้ความปรานี
มือ เท้า แขน และขาถูกแยกออกกองอยู่บนพื้นเหมือนเป็นเพียงตุ๊กตากระดาษที่ถูกฉีกจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างของผู้ฝึกตนปีศาจตนนั้นถูกคมกระบี่แยกออกเป็นส่วน ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ศีรษะถูกดูดเข้าไปในรอยแยกจากการเนรเทศห้วงเวลาที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทว่าสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์เหล่านั้นเกินกว่าที่ผู้คนจะจิตนาการถึง ผู้ฝึกตนปีศาจยอมสละร่างยักษ์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎแห่งโลกวัตถุ ร่างที่สร้างขึ้นจากการหลอมรวมกันของพลังเซียนและปราณปฐพีพลันสลายไปกลายเป็นเศษเสี้ยวปราณวิญญาณแล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วโลกวัตถุ
ผู้ฝึกตนนั้นทำตัวเป็นเหมือนลำแสงเพื่อหวังหลบหนี แต่กลับถูกหุ่นกลสีขาวเงินตวัดเข้าปะทะกับยอดเขาจนเกิดหลุมใหญ่พร้อมฝุ่นควันโขมง
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจขัดขวางการหลบหนีของผู้ฝึกตนปีศาจ ไป๋โม่เสวี่ยก็หันไปกระซิบพี่สาว
“ดูเหมือนว่าบนโลกใบนี้มีเพียงหลี่ลี่ผู้เดียวที่สามารถขัดขวางการไหลเวียนของปราณปฐพีได้”
“อืม ถือว่าครานี้นางทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ไป๋ซวี่เซียงที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างควบคุมอาจารย์อสูร นางเอ่ยตอบน้องชายเสียงเฉยชาราวกับไม่ใส่ใจ
“พี่หญิง ช่วงนี้ท่านดูสนใจนางเป็นพิเศษนะ”
ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวถาม
“ข้าจำได้ว่าคราแรกที่ข้ามาที่นี่ ท่านดูไม่ชอบใจนางมิใช่หรือ?”
“ยามนั้นก็ส่วนยามนั้น ยามนี้ก็ส่วนยามนี้สิ! นี่เจ้าแยกแยะเมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่ออกหรืออย่างไร?!”
ไป๋ซวี่เซียงไม่ใส่ใจที่จะอธิบายว่าเหตุใดนางจึงต้องจับตามองหลี่ลี่ ต่อมาสัมผัสปีศาจก็หดหายลงเรื่อย ๆ กลายเป็นเพียงเส้นแสงร่วงลงไปยังหลุมที่ผู้ฝึกตนปีศาจตกลงไป
เมื่อทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทางแล้ว ไป๋โม่เสวี่ยก็เก็บหุ่นกลที่บอบซ้ำเต็มทีของตนแล้วตามไป๋ซวี่เซียงไปยังบริเวณใกล้ ๆ หลุมที่ผู้ฝึกตนปีศาจตกลงไป
ทันทีที่สองพี่น้องก้าวลงสู่พื้นดิน ฝุ่นควันฟุ้งก็กระจายไปทั่ว ตรงหน้าคือผู้ฝึกตนปีศาจนอนแผ่อยู่บริเวณก้นหลุมใหญ่ การโจมตีเมื่อครู่นี้ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก วงแหวนแสงที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็แตกสลายเหลือให้เห็นเพียงเลือนราง ทั่วทั้งร่างคลุกฝุ่นชุ่มเลือด ทั้งในตา หู จมูก ปาก ต่างก็เต็มไปด้วยเลือดที่กำลังหลั่งไหลออกมา
เมื่อเห็นว่าไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียงก้าวเข้ามาใกล้ ผู้ฝึกตนปีศาจก็รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น
“พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ!”
เขาใช้โอกาสที่ไป๋ซวี่เซียงกำลังเผลอ ยื่นมือออกไปหมายเปิดรอยแยกกลางอากาศเพื่อคว้าเอาของบางอย่างออกมา
“หลีกไปให้พ้นทางข้า!”
ทว่าเพียงเสี้ยวลมหายใจ รอยแยกกลางอากาศพลันปิดลง คิ้วทั้งสองขมวดแน่น แรงบีดอัดจากมวลอากาศหนีบเข้าที่แขนของผู้ฝึกตนปีศาจเข้าอย่างจัง เขาส่งเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนขาดใจ ทว่าบนใบหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเหี้ยม เพราะบัดนี้เขามีคนผู้หนึ่งจากอีกด้านของรอยแยกอยู่ในมืออีกข้าง
ผู้โชคร้ายที่โดนผู้ฝึกตนปีศาจจับตัวมาได้คือสาวน้อยผมทองนามว่าหลินฉีเยว่
“อย่าเข้ามานะ!”
ผู้ฝึกตนปีศาจคว้าจับเข้าที่คอของหลิ่งฉีเยว่ด้วยมือเพียงข้างเดียวพร้อมเอ่ยต่อรองกับไป๋โม่เสวี่ยและไป๋ซวี่เซียงด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหด
“ปล่อยข้าไป ไม่เช่นนั้นคฤหาสน์สีม่วงของสาวน้อยผู้นี้จะต้องแตกสลายกระจายไปทั่วสารทิศ หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่านางจะไม่มีทางได้เกิดใหม่อีก!”
“เอาเลย เจ้ารีบลงมือเถอะ”
ไป๋ซวี่เซียงไม่เอ่ยห้าม แต่กลับยุยงให้เขารีบลงมือแทน
“หากเจ้ากล้า ข้านี่แหละที่จะขยี้คฤหาสน์สีม่วงของเจ้า หากเจ้าอยากจะเกิดใหม่ก็คงทำไม่ได้แล้วเช่นกัน!”
ผู้ฝึกตนปีศาจตกตะลึงกับคำพูดเย้ยหยันของไป๋ซวี่เซียง
“ดูท่าเจ้าจะคิดว่ากลุ่มภารกิจลับของพวกข้ามีความสามารถต่ำต้อยเสียจริง ปล่อยเจ้าไป? หึ นั่นก็จะยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย สู้ให้เจ้าตายอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าหรอกหรือ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะโง่เง่าไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวหรืออย่างไร!”
ทันทีที่ไป๋ซวี่เซียงส่งสัญญาณ ผู้ฝึกตนจากกลุ่มภารกิจลับจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าล้อมผู้ฝึกตนปีศาจอย่างรวดเร็ว
“ตาข่ายฟ้าดิน หากวันนี้เจ้าคิดว่าจะหนีออกไปได้ก็ลองดู!”
“ไป๋โม่เสวี่ย!”
ผู้ฝึกตนปีศาจหันไปพูดกับไป๋โม่เสวี่ยเสียงเหี้ยมอีกครั้ง
“ไม่ใช่เจ้าหรือที่ตั้งตนเป็นผู้ชอบธรรม แล้วประณามข้าว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นปีศาจร้าย แต่ดูเจ้ายามนี้สิ สาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่ว่านางมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าอยู่หรือ? เหตุใดความเป็นความตายของนาง เจ้าก็ไม่สนใจ?”
ไป๋โม่เสวี่ยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายคาถา แสงกระบี่สีน้ำเงินสว่างวาบกลางอากาศ กระบี่เทวะสีน้ำเงินเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมา ก่อนจะพุ่งลงมาปักลงบนพื้นดินข้างหน้าเขา
“นี่เป็นกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าของบิดาข้า มันเป็นสิ่งของแทนใจระหว่างบิดาและหนึ่งในมารดาข้า และมันยังเป็นกระบี่เพียงเล่มเดียวที่บิดาข้านำติดตัวไปด้วยทุกที่”
ขณะที่พูดก็จ้องมองไปที่กระบี่เล่มนั้นไม่วางตา
ในระหว่างที่มองก็นึกถึงตัวตนของ ‘บิดา’ ที่ไป๋โม่เสวี่ยกำลังพูดถึง จู่ ๆ ผู้ฝึกตนปีศาจก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
แต่เขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น จึงบีบคอของหลิ่งฉีเยว่ให้แน่นยิ่งขึ้น พร้อมเอ่ยถามในขณะที่มองไปรอบ ๆ
“แล้วอย่างไร? หรือว่าเจ้าคิดจะใช้กระบี่เทวะนี่ช่วยชีวิตสาวน้อยผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”
“ผิดแล้วล่ะ บิดาข้ารอบรู้ทุกกระบวนท่ากระบี่ แต่นั่นมันก็ล้วนเป็นความสามารถของเขามิใช่ของข้า แต่ไหนแต่ไรข้าเรียนรู้ไปเพียงห้ากระบวนท่า ผ่านมาหลายร้อยปี ยามนี้แม้แต่กระบวนท่าแรกข้าแทบจำไม่ได้แล้ว”
ไป๋โม่เสวี่ยก้าวไปดึงกระบี่ขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ส่งคมกระบี่ไปด้านหลัง
เขามองเข้าไปในดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของหลิ่งฉีเยว่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนว่าหลิ่งฉีเยว่ไม่ได้โกรธเกลียดเขาเลยที่ตัดสินใจเช่นนั้น
“แต่ข้าดึงกระบี่นี้ขึ้นมาด้วยเหตุว่าอยากแสดงกระบวนท่าให้เจ้าดู!”
ไป๋โม่เสวี่ยกดเสียงต่ำ
“เจ้าบอกว่าจะทำให้นางต้องสูญเสียคฤหาสน์สีม่วง เหตุใดข้าต้องรอให้เจ้าลงมือก่อน ในเมื่อข้าสามารถทำให้เจ้าสูญสิ้นคฤหาสน์สีม่วงก่อนนางเสียอีก!”
เขายกคมกระบี่ขึ้น
“ถึงยามนั้น ต่อให้พี่หญิงของข้าจะว่าอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับข้าผู้ลงมือว่าจะตัด สินใจอย่างไร!”
กระบี่เล่มยาวส่องแสงเปล่งประกาย!
ท้องฟ้าสาดแสงเบิกฟ้าพาดผ่านยอดเขาน้ำแข็งสูง สายธารแห่งปราณกระบี่ไหลลงมาจากบนฟ้า
สายธารแห่งปราณกระบี่สาดส่องออกมาทางปลายคมกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้า สายธารสวรรค์ หรือแม่น้ำสลายวิญญาณ สายเล็ก ๆ พุ่งเข้าปะทะหน้าท้องของหลิ่งฉีเยว่แล้วไหลออกจากร่างกายของนางทันที จากนั้นก็แผ่ขยายรัศมีออกเป็นวงกว้าง ก่อตัวเป็นสายธารปราณกระบี่กักขังผู้ฝึกตนปีศาจที่อยู่ด้านหลังหลิ่งฉีเยว่เอาไว้