ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 637 คนดูแลหลุมศพ
บทที่ 637 คนดูแลหลุมศพ
บทที่ 637 คนดูแลหลุมศพ
“เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวตรงหน้า อี้ฝานจึงถามต่อ
“ข้าเป็นใคร? ที่นี่คือที่ไหน? และมันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้?”
“ข้ารู้จักท่าน ข้ารู้จักทุกคนที่ถูกฝังอยู่ภายในสุสานแห่งนี้ และข้าคือผู้ดูแลหลุมฝังศพของสุสานนี้”
ทันใดนั้น เสียงสะอื้นของหญิงสาวก็หายไป ดูเหมือนนางจะเริ่มควบคุมอารมณ์ได้
“ท่านคือวีรบุรุษ และทุกคนที่ถูกฝังอยู่ภายในสุสานล้วนแต่เป็นวีรบุรุษ… ท่านก็เช่นกัน”
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าข้ามีนามว่าอะไร?”
อี้ฝานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าคลานออกจากโลงศพแล้วเห็นชื่อ อี้ฝาน สลักไว้บนศิลาหน้าหลุม ข้าก็เลยยึดมั่นกับชื่อนั้น นั่นคือนามของข้างั้นหรือ?”
“หากท่านคิดว่ามันเป็นชื่อของท่านแล้ว มันก็คงเป็นชื่อของท่าน”
หญิงสาวตอบกลับอย่างใจเย็น
“สำหรับข้า ท่านสามารถเรียกข้าว่าผู้ดูแลสุสานได้ ท่านวีรบุรุษ หากไม่รังเกียจ ช่วยยื่นมือมาให้ข้าได้หรือไม่?”
อี้ฝานยื่นมือออกไปโดยไม่ลังเล เขารู้สึกเชื่อมั่นในตัวหญิงสาวตรงหน้าแม้จะสูญเสียความทรงจำจนหมดสิ้น
แม้เขาจะจดจำตัวตนไม่ได้ หรือแม้แต่จดจำโลกใบนี้ไม่ได้ ทว่าเขากลับเชื่อมั่นว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่ทำร้ายเขา
หลังจากที่เขาเหยียดฝ่ามือออกไป หญิงสาวลูบคลำมันสักครู่ ก่อนสัมผัสมือของเขา ปลายนิ้วกดลงบนฝ่ามือเปล่งประกายแสงระยิบระยับ
อี้ฝานผงะ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนในร่างกาย เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยเหลือให้เขาสามารถดูดซับลำแสงให้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่แสงบนฝ่ามือเริ่มจางหายไป อี้ฝานรู้สึกว่าเขาดูดซับสิ่งตรงหน้าหมดสิ้นแล้ว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายโดยสมบูรณ์ เติมเต็มความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดในร่างกาย
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและกระฉับกระเฉงมากขึ้น จิตใจก็ยังปลอดโปร่ง ไม่สับสนหรือเฉื่อยชาเช่นคราวแรกที่คลานออกจากโลงศพ
“โลกนี้ไร้ซึ่งระเบียบ ไม่มีความสงบสุขและงดงามอย่างที่เคยอีกแล้ว”
หญิงสาวกล่าวขึ้นหลังช่วยเหลืออี้ฝานเสร็จสิ้น นางดึงฝ่ามือกลับพร้อมกับเริ่มจัดการพวงมาลัยดอกไม้ตรงหน้าต่อไป
“มันจบสิ้นแล้ว ทุกสิ่งมาถึงจุดจบ ชีวิตและความตายพลิกผัน กลางวันและกลางคืนไร้ซึ่งความสมดุล มิติเวลาผิดเพี้ยน บุคคลที่สมควรตายกลับตื่นขึ้น บุคคลที่ควรมีลมหายใจกลับล้มตาย บนดินนั้นมนุษย์กลืนกินกันเอง และเพราะคนเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมายกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาด จากนั้นสัตว์ประหลาดก็จะบุกรุกเพื่อกลืนกินมนุษย์อีกครั้ง ในเวลานี้คงจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตมากนักในโลกภายนอก”
นางกล่าวพร้อมกับจัดการพวงมาลัยในมือ
“ท่านวีรบุรุษ ท่านไม่สมควรออกจากสุสานแห่งนี้ แม้ว่าวิญญาณของเทพอสูรนรกภูมิจะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโครงกระดูกเดินเตร็ดเตร่มากมายภายในสุสานแห่งนี้ เมื่อเทียบกับโลกภายนอกแล้ว สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ท่านสามารถเฝ้ารอจุดจบของโลกใบนี้อย่างสงบที่นี่”
อี้ฝานเงยหน้ามองท้องฟ้า ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะกล่าวปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ”
เขากล่าวต่อ
“ข้าไม่สนใจว่าโลกใบนี้จะล่มสลายอย่างไร ข้าจะออกไปรับชมด้วยตนเอง เพราะข้าไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับตัวตนนี้เลย ข้าจะออกไปเดินเล่นเพื่อรับชมสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้และสัมผัสให้ได้ว่าอะไรคือความจริง สุดท้ายแล้วข้าคงไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมแห่งความตายได้ แต่ข้าก็ตายอย่างภาคภูมิใจ หากวันสิ้นโลกมาถึงในขณะที่ข้ากำลังเดินทาง ข้าก็จะยอมตายบนเส้นทางการแสวงหาโดยไม่คิดเสียใจ”
สายลมกรรโชกพัดแรง ผมสีเงินยาวสลวยของหญิงสาวพลิ้วไหวไปตามแรงลม ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าจากระยะไกล
“เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน คำพูดคำจาของท่านไม่เคยเปลี่ยนเลย ท่านวีรบุรุษ”
หลังจากเงียบอยู่นาน หญิงสาวจึงกล่าวอย่างเชื่องช้า ทว่ามีความยินดีอยู่ในน้ำเสียงของนาง
“เช่นนั้นโปรดรอสักครู่”
ขณะกล่าวคำ นางก็เริ่มจัดการกับพวงมาลัยดอกไม้ในมือ
อี้ฝานไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไร เขาเพียงจ้องมองมันอย่างเงียบงัน นางเริ่มพับพวงมาลัยดอกไม้ให้กลายเป็นเศษดอกไม้เล็ก ๆ ก่อนจะแทรกหญ้าเล็ก ๆ ลงไปกลายเป็นแหวนวงหนึ่ง
“กรุณานำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย”
หญิงสาวถือแหวนดอกไม้เอาไว้พร้อมกล่าวร้องขอ
“แม้ว่าข้าจะไม่สามารถมองเห็นมันได้ด้วยสายตา แต่ยังสัมผัสได้ ตราบใดที่ท่านสวมแหวนวงนี้เอาไว้ ตลอดการเดินทางของท่านจะมีข้าเคียงข้างเสมอ”
“ขอบใจแล้ว”
อี้ฝานรับแหวนพร้อมใส่มันลงในกระเป๋าที่มีอยู่บนชุดเกราะพัง ๆ ของตน
“ออกจากประตูนี้ ท่านสามารถออกสู่โลกภายนอกได้ แต่สภาพอากาศและมิติเวลาด้านนอกวุ่นวายนัก ข้าไม่ทราบว่าประตูนี้จะพาท่านไปพบเจอสิ่งใด ท่านวีรบุรุษ หากท่านพบเจอผู้รอดชีวิตที่ต้องการหลบหนีภัยพิบัติ ท่านสามารถแนะนำให้พวกเขามายังสถานที่ปลอดภัยแห่งนี้ได้”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวแผ่วเบา
“นอกจากนี้ยังมีผู้พิทักษ์ทรงพลังยืนอยู่นอกประตูนี้ แม้ว่ามันจะไม่ทรงพลังเช่นเมื่อก่อนเพราะพลังแห่งผลึกแก้วอ่อนแอลง แต่อูฐที่ผอมแห้งนั้นใหญ่กว่าม้า ขอท่านวีรบุรุษอย่าได้ประมาท”
“เข้าใจแล้ว”
อี้ฝานพยักหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นข้าจึงส่งท่านได้เพียงเท่านี้”
หญิงสาวยิ้มให้อี้ฝานอีกครั้ง
“ขอพลังแห่งดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์และผลึกแก้วเหล่านี้จงสถิตอยู่กับท่านแล้ว”
นางยังคงจัดการกับพวงมาลัยดอกไม้ในมือต่อไป ค่อย ๆ ถักทอมันอย่างเรียบง่าย การเคลื่อนไหวของนางเป็นธรรมชาติ
อี้ฝานกล่าวลาพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตูของจตุรัส เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูบานใหญ่ตรงหน้า
ประตูนี้สร้างจากเหล็ก ยอดด้านบนสูงกว่าสิบเมตรและไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้ชัด อีกทั้งมันยังหนักมากราว การเปิดมันคล้ายกับต้องใช้พลังแบ่งแยกโลกออกเป็นสองส่วน
โชคดีที่กลอนประตูยังคงเบาบาง อี้ฝานพบเจอมันหลังจากไม่สามารถออกแรงได้ เมื่อเขาถอนกลอนประตู มันจึงค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
ท่ามกลางเสียงเหล็กเสียดสี ประตูค่อย ๆ เปิดออก แสงอัสดงของอาทิตย์เริ่มคล้อยลับ นอกประตูของจตุรัสนี้คือพื้นที่โล่งกว้างไร้สิ้นสุด
มีร่างอัศวินสูงใหญ่สีดำสนิทนั่งอยู่ใจกลางของพื้นที่เปิดโล่ง มันสูงใหญ่กว่าสามสิบเมตร และตรงหน้าของมันมีดาบเหล็กสีดำขลับกระชับไว้ในมือราวกับยักษ์เฝ้าประตูเมือง
ชุดเกราะของมันมีลวดลายแกะสลักงดงาม แต่ในลวดลายเหล่านั้นกลับมีรอยด่างประหลาด อี้ฝานมองเห็นโพรงขนาดใหญ่ตรงหน้าอก …และมองเห็นผลึกแก้วเปล่งประกายอยู่ภายในนั้น
“จากโครงสร้างแล้ว ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย มันแตกต่างจากคนเฝ้าสุสานเมื่อครู่”
อี้ฝานมองมันอย่างไตร่ตรอง
“อ่า? มันคือสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมในโลกใบนี้ หรือเป็นเพียงแค่หุ่นเหล็กที่ขับเคลื่อนด้วยพลังบางอย่าง?”
หลังจากตรวจสอบศัตรูร่างยักษ์นี้แล้ว เขาค่อย ๆ เขาใกล้มันอย่างระมัดระวัง คราวนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานไร้ลักษณ์ที่เป็นภัยคุกคามชีวิตรุนแรง
อย่างไรก็ตาม หุ่นเหล็กตัวนี้ปิดกั้นเส้นทางที่เขาจะออกจากสถานที่แห่งนี้ มันปกป้องทางออกนี้เอาไว้ เห็นชัดว่าหากอี้ฝานต้องการจะออกจากที่นี่ เขาจะต้องผ่านพ้นมันไป หรือไม่ก็ลัดเลาะไปด้านข้างแทน
อี้ฝานพยายามเดินไปตามถนน อ้อมระยะไกลที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเข้าสู่แนวระนาบเดียวกันกับหุ่นเหล็กสีดำ แสงสีแดงก็พลันเปล่งประกายขึ้นในดวงตาของหุ่นเหล็กร่างยักษ์ทันที
ท่ามกลางเสียงเสียดสีรุนแรง มันค่อย ๆ ยืนขึ้นพร้อมกับดึงดาบยักษ์ออกจากพื้นกระชับไว้แน่น สายตาจับจ้องตำแหน่งของอี้ฝานอย่างไม่วางตา