ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 639 เรือจ้าง
บทที่ 639 เรือจ้าง
บทที่ 639 เรือจ้าง
ดาบสีดำขนาดใหญ่นี้คล้ายกับว่าจะเคยเป็นอาวุธของใครบางคน หลังจากที่นักรบเหล็กดำสูญสลาย มันก็กลับคืนสู่ขนาดที่มนุษย์สามารถถือไว้ในมือได้
แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของอี้ฝานยังไม่อาจใช้มันได้ แม้เขาจะขอให้หญิงสาวที่ดูแลสุสานช่วยดูดซับพลังในผลึกแก้วอีกสักครั้ง เขาก็ยังไม่สามารถกวัดแกว่งดาบได้อย่างอิสระ
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้หญิงสาวดูแลสุสานช่วยเก็บดาบไว้ให้ก่อนชั่วคราว ก่อนจะเดินออกจากประตูสุสานไปในที่สุด
ด้านนอกสุสาน เส้นทางทอดยาวลงจากภูเขา ขณะเดินบนเส้นทางนี้เขาไม่พบเจอสัตว์ประหลาดใด ๆ
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงน้ำไหล เขาจึงเร่งรีบเดินไปตามทิศทางของเสียง ไม่นานนักอี้ฝานก็มาถึงริมน้ำ
มีผลึกแก้วขนาดเล็กใหญ่อยู่ทั่วริมแม่น้ำ แสงในผลึกแก้วเหล่านี้ค่อนข้างจะริบหรี่เต็มที …จนแทบจะมองไม่เห็นพื้นที่ของริมแม่น้ำนี้ เพราะทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยเศษซากของผลึกแก้วมากมาย ไม่มีแสงในชิ้นส่วนเหล่านี้ เมื่อเขาเหยียบมัน แสงที่ริบหรี่ก่อนหน้าจะดับวูบลงในทันที
สิ่งที่น่าแปลกใจคือขณะที่อี้ฝานลงจากภูเขา ดวงอาทิตย์ที่เคยลอยเคว้งอยู่บนท้องฟ้ากลับเลือนหายไป เช่นนี้จึงไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่น ๆ บนริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ …เหลือเพียงแสงริบหรี่จากผลึกแก้วเท่านั้น
ปลายสายของแม่น้ำคือแม่น้ำใหญ่สีดำสนิท มองไม่เห็นทิวทัศน์ของอีกฝั่ง ภายในความมืดมิดนี้ อี้ฝานคิดว่ามันน่าจะเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่
เขาเดินไปรอบ ๆ และเห็นสะพานทรุดโทรมมากมายที่ริมฝั่ง ด้านข้างของสะพานมีฆ้องโลหะขนาดใหญ่ตั้งอยู่
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะลองตีมันดู
เสียงก้องกังวานไปไกล ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟปรากฏขึ้นที่ริมฝั่งของแม่น้ำ!
เรือสีดำลำหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืด มันจอดเทียบฝั่งอย่างเรียบง่าย มีชายชราหลังค่อม ใบหน้าไม่ชัดเจนนักยกตะเกียงน้ำมันที่หัวเรือขึ้นมาพร้อมส่องมาทางอี้ฝาน
“หืม… เป็นมนุษย์งั้นหรือ?”
เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เสียงของเขาไม่ค่อยน่ารับฟังเท่าไหร่นัก หากให้กล่าวแล้วคงคล้ายคลึงกับเสียงเพรียกแห่งความตาย
“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับมนุษย์ที่นี่ เจ้าออกมาจากสุสานงั้นหรือ? นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่งกว่า หรือเจ้าเป็นผีดิบที่ยังมีสติอยู่?”
“สวัสดี”
อี้ฝานกล่าวทักทายและถามออกไป
“ท่านคือคนเรือข้ามฟากงั้นหรือ? หากใช่ ช่วยพาข้าออกไปด้านนอกทีเถิด”
“ออกไปด้านนอก? คิดจะไปรับชมสิ่งใดข้างนอกนั่น!?”
ชายชราตะคอก
“เป็นเพราะราชาผู้นั้นปิดเส้นทางออกจากสุสานแห่งนี้ และยังส่งหุ่นกลเหล็กตัวใหญ่มาเฝ้าสถานที่ในขอบเขตประตูสุสาน ข้าจึงไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกต่อไป ราชาที่อยู่ด้านนอกเกรงว่าราชาองค์เก่าที่ตายตกจะลุกขึ้นมายึดอำนาจกลับคืนอีกครั้ง เช่นนี้พวกเขาจึงส่งราชาและนักรบทั้งหมดมายังสถานที่แห่งนี้ หุ่นเหล็กนั้นเปรียบเสมือนกำแพงเมือง มันยืนอยู่กับที่ ไม่คิดถึงสิ่งภายนอกหรือภายใน แม้ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางวันสิ้นโลกก็ตาม… อ้อ ข้าลืมถาม แล้วเจ้าออกมาได้อย่างไร?”
“ข้าเอาชนะหุ่นเหล็กตัวนั้น มันเก่ามากแล้ว”
อี้ฝานตอบตามตรง
“อะไร? เจ้าสามารถเอาชนะหุ่นเหล็กตัวนั้นได้งั้นหรือ?”
ชายชรามองเขาอีกครั้ง พร้อมกล่าวต่ออย่างเร่งรีบ
“งั้นรีบขึ้นเรือมา ข้าไม่คิดเงินเจ้า”
“ขอบคุณแล้ว”
อี้ฝานขึ้นมาบนเรือพร้อมนั่งไขว่ห้างที่ท้ายเรือ
ชายชราหยิบไม้พายแล้วเริ่มจ้วงผิวน้ำ เขาพูดคุยกับอี้ฝานขณะที่กำลังพายเรือ
“เจ้าถูกฝั่งอยู่ด้านใน เช่นนั้นเจ้าคงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่? เจ้าเป็นใครงั้นหรือ?”
“ข้าจำไม่ได้”
อี้ฝานตอบกลับ
“สูญเสียความทรงจำหมดสิ้น? เช่นนั้นคงหมายความว่าวิญญาณของเจ้าถูกดึงออกไป”
ชายชรากล่าวต่อ
“เจ้าเห็นแสงพวกนั้นหรือไม่? แสงที่ส่องประกายบนผลึกแก้วริมแม่น้ำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นวิญญาณทั้งสิ้น ในโลกนี้ทุกคนมีวิญญาณอยู่ในร่างกาย และมีวิญญาณมากมายไร้เจ้าของ พวกมันเกิดจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกใบนี้ ผู้คนสามารถดูดซับวิญญาณไร้เจ้าของและเปลี่ยนให้มันเป็นวิญญาณของตนเอง เช่นนี้เมื่อวิญญาณของบุคคลนั้นถูกพรากออกไป จึงกลายเป็นสูญเสียความทรงจำ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้”
อี้ฝานแตะหน้าอกแผ่วเบา
“ไม่แปลกใจเลย ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างในร่างกายขาดหายไป”
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะเรียกคืนความทรงจำเหล่านั้น”
ชายชราเหลือบมองเขา
“แม้เจ้าจะได้รับวิญญาณมากมายเพื่อชดเชยสิ่งที่หายไป แต่วิญญาณเหล่านั้นมันไม่ใช่ของเจ้า หึ สุดท้ายแล้วสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของโลกใบนี้ ถึงจะจดจำเรื่องราวเดิมไม่ได้ก็คงไม่แตกต่างอะไรนัก สุดท้ายแล้วไม่ว่าชื่อเสียงของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด สถานที่ที่เจ้าเคยอาศัยอยู่พังพินาศหมดสิ้นแล้ว”
“สถานการณ์เลวร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
อี้ฝานกล่าวถาม
“เวลานี้ด้านนอกของเมือง กล่าวได้ว่าแทบจะไม่พบสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์เลย นี่คือสิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่งในเวลานี้”
ชายชราตอบกลับ
“โลกภายนอกเต็มไปด้วยคนตายที่คลานขึ้นมาจากหลุมศพ มีสัตว์ประหลาดมากมาย นานมาแล้ว กลุ่มทวยเทพลงมาจากท้องฟ้า เหล่าเทพพวกนั้นล้วนแต่เป็นบ้า พวกมันสังหารผู้คน เผาพวกเขาทั้งเป็น กล่าวตามตรงข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงอยากออกจากสุสาน เพราะที่นั่นน่าจะเป็นสถานที่เดียวที่มีความสงบมากที่สุดในโลก”
“ข้าอยากออกมาดู”
อี้ฝานตอบเสียงแผ่ว
เรือแกว่งไกวไปมาในสายน้ำที่มืดมิดเป็นเวลานาน จู่ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำอีกด้านก็ปรากฏขึ้นจากระยะไกล
มีแสงริบหรี่จากสถานที่แห่งนั้น แต่ยังไม่อาจมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ ดูเหมือนว่ายังอยู่ในเวลากลางคืน
“นี่คือยามค่ำคืนงั้นหรือ?”
อี้ฝานอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
“กลางคืน?”
ชายชราหัวเราะเสียงต่ำ
“ก็คงจะเป็นเรื่องจริงสำหรับดินแดนแห่งนี้ กล่าวให้ถูกก็คือ เวลากลางคืนเป็นสิ่งที่พวกมันโปรดปรานที่สุด”
เมื่อเห็นว่าอี้ฝานไม่เข้าใจ เขาจึงกล่าวต่อ
“แม่น้ำสายนี้นำพาไปสู่ดินแดนต่าง ๆ ในเวลาปัจจุบัน เวลาหยุดเคลื่อนไหวแล้ว และดินแดนเหล่านั้นจะอยู่ในความมืดตลอดกาล และหากดินแดนไหนสว่าง ก็จะสว่างตลอดกาล แน่นอนว่ามันจะมีบางสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่า นับว่าน่าสะพรึง หึ ๆ…”
ชายชราส่งเสียงหัวเราะประหลาด ก่อนจะส่งอี้ฝานที่ริมฝั่งแม่น้ำ
“หากเจ้าพบเจอฆ้องเช่นนี้ จงลั่นมัน แล้วข้าจะปรากฏตัว”
ชายชราไม่คิดจะกลับขึ้นฝั่งแต่อย่างใด เขาพายเรือกลับสู่แม่น้ำอันมืดมิดไปพร้อมกับเรือลำเล็ก และไม่ลืมที่จะกล่าวกับอี้ฝานว่า
“อย่างไรก็ตาม เวลานี้ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามไปได้นอกจากเจ้า และข้าจะไม่เรียกเก็บเงินใด ๆ หากเจ้าต้องการให้ข้าออกไป ก็เพียงลั่นฆ้องเสีย แน่นอนว่าหากเจ้าไม่เสียสติไปก่อนน่ะนะ… หึ ๆๆ…”
หลังจากกล่าวอำลาชายแปลกหน้าที่กล่าวคำพูดประหลาดและเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกแล้ว อี้ฝานก็เริ่มเดินตรงสู่ถนนของเส้นทางด้านหน้า
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งกว่าสุสานอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองใต้ฝ่าเท้า เวลานี้เขาไม่ได้เดินอยู่บนภูเขาอีกต่อไป แต่เป็นถนนและบันไดที่ถูกปูพื้นด้วยหิน เขาเงยหน้าขึ้นและมองเห็นว่ามีกำแพงเมืองกับประตูเมืองขนาดใหญ่อยู่ในระยะไกล
อี้ฝานเดินไปตามเส้นทางก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองเห็นคำที่สลักไว้บนประตูเมือง
เมืองหลวงหมิงกวง