ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 64 ข่าวร้าย
บทที่ 64 ข่าวร้าย
การต่อสู้ในครั้งนี้กินเวลาไปนานมาก พื้นดินบริเวณใกล้เคียงเต็มไปด้วยซากศพที่แน่นิ่งสนิทและเศษซากของหุ่นเชิดที่ถูกทําลาย
ศิษย์สำนักเทียนอวี้เหนื่อยล้าเต็มที พลังปราณว่างเปล่าไม่มีหลงเหลือ เหงื่อไหลท่วมตัวราวกับสายฝน หอบหายใจอย่างหนักหน่วง แม้แต่ผู้อาวุโสหลิวที่อยู่ในขั้นแยกวิญญาณยังหมดแรง ด้วยแม้อสูรมิติมืดเหล่านี้จะมีพลังการต่อสู้ขั้นขอบเขตแกนทองคําระดับต่ำ ด้อยกว่าผู้ที่กินเม็ดยาทองคำ แต่ไม่ว่าจะอ่อนแอแค่ไหน… นี่ยังคงเป็นพลังการต่อสู้ของขั้นขอบเขตแกนทองคำอยู่ดี
ไม่เพียงความมืดที่ติดอยู่กับร่างกาย แต่พวกมันยังมีพลังต้านทานการโจมตีได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังจัดการกับสัตว์ประหลาดไปหลายร้อยตัว ในที่สุดทุกคนในเขตแดนสำนักเทียนอวี้ที่ไม่ค่อยถนัดการต่อสู้ได้ขยับเข้าใกล้สนามประลองทีละน้อยแล้ว!
เป็นเรื่องยากนักที่จะฝ่าไป
ผู้อาวุโสหลิวมองไปรอบ ๆ พบว่าศิษย์แห่งสำนักเทียนอวี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือในศึกนี้อีกต่อไป ทว่าในความมืดมิดเจ้าสัตว์ประหลาดยังคงผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ในใจของเขาเกิดความคิดที่จะถอยกลับ ก่อนยกตะเกียงฉางหมิงในมือขึ้นอีกครั้ง กระตุ้นเพลิงที่แท้จริงแห่งอาวุธเวทอย่างสุดกําลัง เปลวเพลิงบิดเบี้ยว ก่อเกิดเป็นทะเลเพลิงที่หน้าประตูเมืองโบราณ ปิดกั้นเส้นทางของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น
“ไปกันเถอะ!”
ผู้อาวุโสหลิวตะโกนขึ้น
เหล่าศิษย์สำนักเทียนอวี้ต่างเค้นพลังเฮือกสุดท้ายออกมา พร้อมขี่กระบี่บินออกจากพื้นดิน ศิษย์ขั้นขอบเขตแกนทองคําที่คอยสนับสนุนรอบนอกเปิดใช้วิชาเวทสั่งการหุ่นเชิดราคาแพงเหล่านี้อย่างไม่ลังเล พวกมันวิ่งเข้าไปในทะเลเพลิง สัตว์ประหลาดมืดบางตัวที่พุ่งออกมาจากทะเลเพลิงถูกหุ่นเชิดผลักกลับเข้าไปอีกครั้ง จากนั้นเกิดเสียงระเบิดครั้งใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน
ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว แต่ผู้อาวุโสหลิวรู้ดีว่าเมืองโบราณแห่งนี้ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
เขาฉวยเวลาเพื่อนำศิษย์ขั้นปฐมวิญญาณแห่งสำนักเทียนอวี้ขึ้นไปในอากาศ
เหง่ง!
แต่ในเวลานี้เสียงระฆังดังออกมาจากภายในเมืองโบราณ เมื่อเสียงระฆังที่แฝงไว้ด้วยการโจมตีทางวิญญาณดังขึ้น ศิษย์ขั้นปฐมวิญญาณรีบยกจิตสํานึกของตนเองขึ้นมาต่อต้านแล้วชะลอฝีเท้าลงทันที
หลังจากสิ้นเสียงระฆังครั้งแรก เหล่าศิษย์รู้สึกวิงเวียนหัวไปตาม ๆ กัน ในตอนนั้นเอง เสียงระฆังที่สองก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงระฆังที่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ราวกับคลื่นกระแทกกับจิตวิญญาณและความตั้งใจของทุกคน ส่งผลให้ต้องชะลอฝีเท้าลงอย่างสมบูรณ์
ผู้อาวุโสหลิวขบกรามแน่น ยกตะเกียงฉางหมิงในมือขึ้น แล้วโยนออกไปด้านนอก ส่งให้ตะเกียงเริ่มปรากฏรอยแตกร้าว
เปลวไฟที่แท้จริงแผ่กระจายออกมาจากตะเกียง ก่อตัวเป็นดอกบัวเพลิงที่ปกคลุมท้องฟ้า ล้อมรอบศิษย์ทุกคนของสำนักเทียนอวี้เพื่อแยกการโจมตีทางจิตใจชั่วคราว แต่ผู้อาวุโสหลิวที่ระเบิดศาสตราแห่งเต๋าของตัวเองกลับถูกลากเข้าไป พลันกระอักโลหิตออกมา กลิ่นอายจิตวิญญาณเริ่มอ่อนแรงลง
“ท่านผู้อาวุโส!”
เมื่อศิษย์สำนักเทียนอวี้เห็นดังนั้นจึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่เป็นไร!”
ผู้อาวุโสหลิวเช็ดเลือดที่มุมปากออกไป
“หนีเร็ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์สำนักเทียนอวี้จะจัดการได้ด้วยตัวเอง เราต้องนําข้อมูลกลับไปบอกห้าพันธมิตรฝ่ายธรรมโดยเร็ว!”
เมื่อศิษย์สำนักเทียนอวี้ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาจึงกระตุ้นพลังเวทภายใต้การคุ้มครองของดอกบัวเพลิงขึ้น
แต่ในเวลานี้ฝุ่นควันจากเมืองโบราณสลายหายไปแล้ว ความมืดภายในพลุกพล่าน ลำแสงกระบี่สีดําหลายสายพุ่งออกมา
ลำแสงกระบี่เหล่านี้พุ่งผ่านเส้นตรงสีดําไปบนท้องฟ้า เส้นตรงตัดกันเป็นลวดลายที่หนาแน่น ทําให้ดอกบัวเพลิงของศิษย์สำนักเทียนอวี้ถูกกักขังอยู่ที่เดิม
“นี่คือ… ค่ายกลกระบี่หรือ?”
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตอบสนอง เสียงหวีดหวิวดังขึ้นอีกครั้ง อักขระบนร่างของสัตว์ประหลาดมืดทะมึนมีลวดลายซับซ้อนมากขึ้น พวกเขาควบคุมกระบี่บินสีดํา บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ล้อมรอบศิษย์สำนักเทียนอวี้ไว้ตรงกลาง
คิดดูแล้ว นี่คงเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานที่หายสาบสูญไป!
เมื่อดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา แต่ละคนล้วนมีความสามารถขั้นปฐมวิญญาณ พวกมันเดินไปขนาบข้างศิษย์แห่งสำนักเทียนอวี้ ส่งเสียงคํารามออกมาขณะกำลังขี่กระบี่ ก่อนจะโบยบินพุ่งโจมตีบัวเพลิง!
เหล่าศิษย์สำนักเทียนอวี้ที่กําลังหมดพลังภายในรีบตอบโต้ ทว่าอีกฝ่ายมีพลังมหาศาลนัก ไม่นานศิษย์สำนักเทียนอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง เมื่อลำแสงจากกระบี่สีดําเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่กลับถูกเผาด้วยเปลวเพลิงของบัวเพลิง แต่ในตอนที่กระบี่สีดําระเบิดออก แรงนั้นฉีกกระชากดอกบัวเพลิงออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งให้การป้องกันของสำนักเทียนอวี้เกิดช่องว่างขึ้น
เสียงระฆังดังกึกก้องทันที ศิษย์ที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำหลายคนไม่อาจทนฟังเสียงระฆังไหว จิตสํานึกป้องกันถูกทําลายทำได้เพียงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม
“อ๊ากกกกกกกก”
พวกเขาก้มหัวลงส่งเสียงพึมพําพร้อมกับระฆังที่รัวเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
“ทําลายจักรพรรดิชิงและสร้างราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์!”
“ลุกขึ้นได้แล้ว!”
ผู้อาวุโสหลิวตะโกนเสียงดังพร้อมยื่นมือออกไปดึงศิษย์เหล่านี้ไว้ ทว่ากลับโดนเจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่รอบ ๆ กระโจนเข้าใส่ ผู้อาวุโสถูกบีบให้ล่าถอยห่างออกไป ได้แต่มองดูศิษย์ขั้นปฐมวิญญาณทนทรมานกับเสียงระฆังล่อลวงก่อนจะตกลงไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดของเมืองโบราณ
เสียงระฆังยิ่งเร่งเร้า บัวเพลิงถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ อาวุโสหลิวขมขื่นใจยิ่งนัก อย่าว่าแต่ปกป้องศิษย์เลย… แม้แต่จิตสํานึกของเขาเองยังถูกบีบจนสิ้นหวัง…
ในช่วงเวลาที่อันตรายจวนความตายใกล้มาเยือน ทันใดนั้นปราณกระบี่สีขาวขนาดใหญ่ลอยหวือข้ามไปหลายร้อยลี้ ทําลายเสียงระฆังของค่ายกลกระบี่ ทําลายทุกสิ่งอย่างที่ล้อมรอบศิษย์สำนักเทียนอวี้
“ท่านผู้อาวุโสหลิว!”
ชายวัยกลางคนรูปงามที่สวมเสื้อยาวสีขาวราวหิมะ สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เหยียบย่ำเมฆขาวโบยบินลงมา
“พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ศิษย์พี่เยว่!”
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ดวงตาของผู้อาวุโสหลิวส่องแสงเป็นประกายขึ้น คนที่มาคือตัวแทนจากโรงหลอมเหล็กเทียนอวี้ พี่ชายคนโตของเยว่เชียนเหลียน
“ท่านมาได้อย่างไร? ท่านเจ้าสํานักบอกให้ท่านมาหรือ?”
“อืม ข้ากําลังค้นหาวัตถุดิบสําหรับเชียนเหลียน ระหว่างทางกลับได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงแวะมาดูน่ะ”
เยว่เชียนเหรินบินลอยมาอยู่เบื้องหน้าศิษย์สำนักเทียนอวี้กับคนอื่น ๆ
“มาเร็ว ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป!”
“มีศิษย์หลายคนที่ถูกจับไว้ในเมืองโบราณ”
ผู้อาวุโสหลิวกล่าวด้วยความเจ็บปวด
“ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว พวกเจ้าออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
สีหน้าของเยว่เชียนเหรินเปลี่ยนไปทันที
อักขระมิติทั้งสองมีความซับซ้อนมากขึ้น สัตว์ประหลาดมืดทะมึนที่มีเขาสูงเหนือศีรษะ พวกมันควบคุมศาสตราแห่งเต๋าแล้วขวางทางทุกคนเอาไว้ ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นที่เทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นแยกวิญญาณ ส่วนด้านหลังมีสัตว์ประหลาดขั้นขอบเขตแกนทองคํานับพันยืนอยู่บนท้องฟ้าอย่างหนาแน่น ก่อตัวเป็นกลุ้มเมฆสีดําขวางทางเอาไว้
“ดูเหมือนว่าเจ้าของเมืองแห่งนี้จะไม่ยอมให้พวกเราจากไปง่าย ๆ แบบนี้สินะ”
เยว่เชียนเหรินพลิกมือคว้าด้ามกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผู้อาวุโสหลิว ข้าจะเปิดทางให้ท่าน ไม่ว่าอย่างไร… ต้องส่งข้อความเรื่องเมืองโบราณนี้ไปให้เชียนเหลียนให้จงได้!”
บนยอดเขาเจ็ดดาราแห่งขุนเขาชิงหมิง ไป๋ชิวหรานกําลังครุ่นคิดเกี่ยวกับหินที่คัดลอกมา แม้ว่าหินเงากับหินวิญญาณเปล่าจะส่งมอบให้กับสํานักเสวียนฝ่าแล้ว ทว่าตัวเขาเก็บตัวคัดลอกไว้เพื่อพิจารณา เพื่อดูว่ามีโอกาสที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ตนทะลวงเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานหรือไม่
ขณะที่เขากําลังจ้องมองรูปแบบผังจากทุกเหลี่ยมมุมบนหินเงา เสียงตะโกนของศิษย์ดังขึ้นในหู
“ท่านอาจารย์ แย่แล้ว!”
ถังรั่วเวยควบคุมกระบี่คุนหมิงรีบร่อนลงมาจากยอดเขาหลักชิงหมิงแล้วตะโกนใส่เสียงดังลั่น
“มีเรื่องอะไร? เหตุใดจึงเอะอะโวยวายเช่นนี้?”
ไป๋ชิวหรานชําเลืองมองนางอย่างเกียจคร้าน
“หน้าอกเจ้าใหญ่ขึ้นหรือ?”
“ข้ารู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้นเล็กน้อย… ไม่สิ ท่านอาจารย์!”
ถังรั่วเวยส่ายหัวก่อนยัดจดหมายใส่มือไป๋ชิวหราน
“ท่านดูเอาเองเถอะ นี่คือสิ่งที่เจ้าสํานักและผู้อาวุโสให้ข้านํามาให้”
ไป๋ชิวหรานรับมันมา เปิดซองจดหมายออกตรวจสอบเนื้อหาข้างใน
บนกระดาษจดหมาย กระดาษสีขาวและสีดําเขียนไว้ว่า
‘เมืองโบราณลึกลับปรากฏขึ้นในรัฐชิงหลิง ศิษย์สำนักเทียนอวี้พร้อมศิษย์ขั้นขอบเขตแกนทองคำระดับสูงสุดเข้าไปตรวจสอบ และเยว่เชียนเหรินที่ถือครองกระบี่สวรรค์พันหลอมได้เข้าไปช่วยเหลือล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ มีเพียงผู้อาวุโสหลิวอวิ๋นที่บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป’