ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 642 นักรบแห่งขุนเขา
บทที่ 642 นักรบแห่งขุนเขา
บทที่ 642 นักรบแห่งขุนเขา
ทางเดินระหว่างประตูเมืองชั้นในฝั่งตะวันออกไปจนถึงประตูเมืองชั้นนอกเป็นทางเดินกว้างประมาณคนสิบคนเรียงแถวหน้ากระดาน สองข้างทางมีกำแพงสูงตั้งตระหง่านตลอดทาง และทางเดินที่ว่านี้ก็ตั้งอยู่ในอาณาเขตของนักรบแห่งขุนเขา
เป็นอย่างที่สาวน้อยพูดไว้ไม่มีผิด ต่อให้เหล่านักรบจะสติฟั่นเฟือน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็คงไม่ปล่อยให้อี้ฝานผ่านประตูตะวันออกไปโดยที่ไม่มีรอยขีดขวนอันใด แล้วเดินทางไปยังเมืองต้องห้ามข้างนอกเมืองหลวงหมิงกวง… ได้อย่างสบายอกสบายใจแน่นอน
ทว่าอี้ฝานนั้นไม่ได้หวาดหวั่นสิ่งใด หากถูกจู่โจม เขาเองก็พร้อมตอบโต้ ยามนี้ชายหนุ่มก้าวเดินอย่างระมัดวังเข้าไปใกล้ประตูเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ประตูเมือง เขาค่อย ๆ ย่องเบาเข้าไปสังหารนักรบสองสามคนที่ซุ่มโจมตีผู้บุกรุกด้วยหน้าไม้ที่อยู่หลังประตูเมืองด้านใน จากนั้น… เขาก็มาถึงประตูก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินบนเส้นทางระหว่างประตูตะวันออก
บนทางเดินเงียบเหงาไร้เหงาผู้ใด ปลายทางข้างหน้าคือประตูเมืองที่จะนำเขาไปสู่โลกภายนอก ทันใดนั้นเขาก็พบเข้ากับร่างนักรบเกลื่อนกลาดกองพะเนินเป็นภูเขาอยู่หน้าประตูเมือง
บัดนี้อี้ฝานไม่พบร่องรอยของ ‘นักรบแห่งขุนเขา’ ที่ยังมีชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้ชะล่าใจ ยังคงระมัดระวังภัยในขณะที่ก้าวเดินต่อไป
ครั้นเดินไปถึงเพียงครึ่งทาง อี้ฝานก็พลันรู้สึกขนหัวลุก
ข้างในหูทั้งสองข้างเริ่มอื้ออึงอย่างรุนแรง พลันได้ยินเสียงของชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังกล่าวคำปฏิญาณต่อใครบางคน
“อ่อนน้อมถ่อมตน จงรักภักดี ทรหดอดทน ขยันหมั่นเพียร ประหยัดมัธยัสถ์ อดทนอดกลั้น เมตตากรุณา”
“ยามเผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่งไม่หลีกไม่ถอย อาจหาญชาญชัย ไม่ละอายต่อบรรพชน ซื่อสัตย์ภักดี ยอมตายดีกว่ายอมจำนน ปกป้องผู้อ่อนแอ ไม่ละเมิดกฎสวรรค์!”
“ข้าขอปฏิญาณว่าจะเมตตาต่อผู้อ่อนแอ”
“ข้าขอปฏิญาณว่าจะต่อสู้อย่างภักดีต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง”
“ข้าขอปฏิญาณว่าจะต่อสู้เพื่อผู้ไร้ที่พึ่งพิง”
“ข้าขอปฏิญาณว่าจะรักษาคุณธรรมอันดีงามตลอดไป”
เสียงแหบแห้งของบุรุษเพศดังกึกก้องอยู่ในหัว มันสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนสองขาเริ่มไร้เรี่ยวแรงจนต้องใช้มือดันกำแพงพยุงตัวไว้ไม่ให้ลงไปกองบนพื้น
ทันใดนั้น กองภูเขาร่างไร้วิญญาณที่อยู่ข้างหน้าประตูเมืองเริ่มสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อย ๆ ล่องลอยขึ้นไปบนอากาศ
บัดนี้ปลายทางเดินนั้นมีนักรบตัวสูงใหญ่ถือโล่ใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และกำลังยกร่างไร้วิญญาณทั้งกองขึ้นบนอากาศ
ตรงกลางชุดเกราะยังมีแสงสีแดงส่องออกมา ทว่าส่วนล่างของหมวกเกราะหายไปครึ่งหนึ่ง ถึงได้เห็นว่าเขากำลังแยกเขี้ยวน้ำลายยืด
ชุดเกราะสีทองแวววาวบนกายชายสูงใหญ่หนักเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ ส่วนมืออีกข้างถือแท่งเหล็กใหญ่
ถึงจะบอกว่ามันคือแท่งเหล็ก …ทว่าความจริงนั้นมันคือกระบองอาวุธดี ๆ นี่เอง แม้รูปลักษณ์ของมันจะเป็นเพียงแท่งเหล็กยาวใหญ่ก็ตาม แต่เรื่องน้ำหนักนั้นยิ่งกว่าดาบใหญ่สีดำเล่มนั้นเสียอีก หากเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาก็อย่าได้หวังว่าจะใช้มันได้
นักรบในตำนานเหวี่ยงโล่ใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียว ร่างทั้งหมดก็ปลิวกระจายออกไป! จากนั้นเขาก็เบิกตาสีแดงเลือดนกพร้อมยกอาวุธขึ้นหมายโจมตีอี้ฝาน!
ประจวบเหมาะที่อี้ฝานได้สติกลับมาพอดิบพอดี เขาจ้องมองนักรบที่อยู่ตรงหน้า และด้วยเหตุผลบางอย่าง ความเกลียดชังพลันประเดประดังเข้ามาในใจ ความโกรธก็แผดเผาอยู่ในอกจนไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป!
เขาชักกระบี่ออกมา รีดเค้นความโกรธในอกออกมาผ่านการลงมือทำ คมกระบี่ที่อาบไปด้วยเพลิงที่ส่องประกายขึ้นบนอากาศบางเบา จนกระทั่งกลายเป็นเหมือนคบเพลิงที่ลุกโชนอย่างแรงกล้า! พลางกระชับด้ามกระบี่ในมือแน่น และพุ่งเข้าไปหานักรบแห่งขุนเขาพร้อมเสียงแผดที่ร้องดังลั่น
ชายผู้แข็งแกร่งราวกับอสูรสองตนต่อสู้กันกลางทางเดิน ตนหนึ่งสูงใหญ่สวมใส่ชุดเกราะหนา ภายในกายพุ่งพล่านไปด้วยพละกำลังแข็งแกร่งเหนือจิตนาการ
ทุกย่างก้าวผืนดินสั่นสะเทือน ยามใดเหวี่ยงอาวุธในมือ มวลอากาศรอบกายก็สั่นสะท้าน เพียงตั้งโล่ใหญ่ไว้กำบังกาย นักรบก็กลายเป็นดั่งขุนเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านจนยากจะหาสิ่งใดต้านทานได้!
และนี่เองคือที่มาของชื่อ!
อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นนักรบผมขาวทั่วศีรษะ แม้ว่าพละกำลังจะด้อยกว่า ทว่าความว่องไวและทักษะที่มีนั้นน่ากลัวไม่แพ้กัน เขากวัดแกว่งกระบี่เพลิงเล่มยาว ขณะที่สายตาพลันจดจ้องหาจุดอ่อนของศัตรูที่แทบไม่มีให้เห็น หวังจะใช้โจมตีอีกฝ่ายให้แพ้พ่าย
ทว่าสุดท้ายแล้ว… นักรบแห่งขุนเขาผู้เปรียบดั่งภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านที่ราวกับไม่มีวันพังทลายและคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ กลับถูกคมกระบี่เพลิงของอี้ฝานเผาผลาญจนมอดไหม้กลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน!
ทว่าทันทีที่นักรบแห่งขุนเขาสิ้นใจ …อี้ฝานพลันหายใจติดขัดและล้มลงไปกองที่พื้นตามไปติด ๆ
กระบี่เล่มยาวของเขาหักและสลายไปเพราะทนแรงปะทะก่อนหน้านี้ไม่ไหว ชั่วพริบตาที่เขาล้มลงไป ลำแสงมากมายที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของนักรบผู้นั้นก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเขา
ความคิดของอี้ฝานพลันตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจมดิ่งลงไปในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก พร้อมกับแสงที่ล่องลอยมาจากที่ใดสักแห่ง ไม่รู้ว่านั่นเป็นแสงแห่งจิตวิญญาณหรือเป็นความทรงจำที่หลับใหลอยู่ในหัวของเขา
บัดนี้… สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในหัวเป็นภาพของชายร่างท้วม สวมชุดเกราะ ใบหน้าทรงพลัง ศีรษะไร้เส้นผม และไว้หนวดเคราสีทองยาวตั้งแต่แก้มไปจนถึงคอ
เบื้องหน้าของเขามีร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งดูลึกลับ จนมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน
“หากข้าช่วยท่าน ของพวกนั้นจะเป็นของข้าใช่หรือไม่?”
นักรบผู้นั้นเงยหน้าขึ้นถาม แต่ความโลภก็เขียนไปทั่วใบหน้าของเขา
“ทองพวกนั้น สมบัติพวกนั้น ข้าวของมากมายที่เราได้มันมาในช่วงเวลาหลายปี ท่านจะแบ่งมันให้แก่ข้า… ใช่หรือไม่?”
ความทรงจำถูกตัดออกไป
อี้ฝานที่กำลังล่องลอยออกสู่มหาสมุทรแห่งความทรงจำหวนกลับสู่ร่างตนในทันใด
“คนผู้นั้นเป็นผู้ใดกันแน่?”
เขาสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมออกมาทางหน้าผากพร้อมกับเหลือบมองเท้าตน
นักรบแห่งขุนเขาผู้แข็งแกร่ง บัดนี้กลายเป็นเพียงขี้เถ้าสีขาวกองอยู่บริเวณหนึ่งของทางเดินกว้างนี้ จากนั้นก็ค่อย ๆ สลายไปอย่างเงียบงัน
อี้ฝานปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
เมื่อพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางต่อ
ส่วนกระบี่เล่มยาวหลงเหลือไว้เพียงเศษซากไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไป แต่อี้ฝานที่เหลือบไปเห็นโล่ใหญ่ที่ยังมีสภาพดีอยู่ก็ก้าวเข้าไปดึงมันออกมาจากบริเวณที่นักรบแห่งขุนเขาสิ้นใจ
นี่คือสิ่งที่นักรบแห่งขุนเขาถือไว้ในมือ แถมยังใช้มันยกกองร่างไร้วิญญาณที่สูงใหญ่ราวภูเขาขึ้นบนอากาศ แต่ตอนนี้มันหดลงจนมีขนาดเล็กพอที่มนุษย์จะสามารถใช้มันได้
อี้ฝานหยิบมันขึ้นมาลองใช้ดู ส่วนดาบใหญ่สีดำนั้นแทบไม่วี่แววว่าจะยกมันได้ แต่หลังจากได้ดูดซับวิญญาณของนักรบแห่งขุนเขา ก็พบว่าเขาสามารถถือโล่ที่เคยใหญ่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่ง
เขารีบทิ้งโล่ไม้กลม ๆ ที่พบในสุสานก่อนหน้านี้อย่างไร้เยื่อใย จากนั้นก็แบกโล่ใหม่ไว้ด้านหลัง
ในเมื่อหนทางข้างหน้าปราศจากสิ่งขวางกั้น เขาจึงรีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปทางประตูตะวันออกเพื่อออกจากเมืองหมิงกวง อี้ฝานเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างหน้าแม่น้ำมืดมิดอันกว้างใหญ่อีกครั้ง
ที่ริมฝั่งแม่น้ำมีฆ้องใหญ่และเรือหินข้ามฟาก
อี้ฝานตีฆ้องใหญ่นั้นทันที เปลวไฟพลันลุกพรึบขึ้นบนผืนน้ำ ชายชราบนเรือข้ามฟากรีบขยับตัวพายเรือเข้ามาหาอี้ฝานที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำพร้อมพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“ฮะ ๆ ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีก ข้าว่าแล้วเชี่ยวว่าข้าต้องมองท่านไม่ผิด ท่านนักรบ ท่านคือวีรชนคนเดินดินที่เดินทางมายังโลกใบนี้”
“ข้าคงต้องรบกวนท่านอีกคราแล้ว”
ทันทีที่เรือแทบฝั่ง อี้ฝานก็ก้าวขึ้นไปนั่งข้างหลังเรือ
“ข้าเพียงต้องการเดินทางไปรัฐข้างหน้า เพราะได้ยินมาว่าที่นั่นคือเมืองต้องห้าม”
“หืม? ดูท่าว่าท่านคงได้พบผู้ที่รู้เรื่องราวของที่นั่นเป็นอย่างดีแล้วสินะ”
ชายชราไม่ปฏิเสธ แต่กลับยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นเรือก็เริ่มออกจากฝั่งทันที