ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 643 โลภมากลาภหาย
บทที่ 643 โลภมากลาภหาย
บทที่ 643 โลภมากลาภหาย
“นักรบที่เฝ้าประตูตะวันออกของเมืองหมิงกวงนั้นเป็นที่ขนานนามว่าทรงพลังที่สุดในเมืองทั้งหมด และข้าคิดว่าท่านคงได้พบเขาในอาณาเขตของนักรบแห่งขุนเขาเข้าแล้วใช่หรือไม่?”
เหนือผืนน้ำกว้างใหญ่ น้ำสีดำทะมึนจนหากจุ่มมือลงไปก็ไม่อาจมองเห็นนิ้วทั้งห้า ชายชราพายเรือโคลงไปโคลงมาหน่อย ๆ พลางพูดคุยกับอี้ฝานไปเรื่อย ๆ
“ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนในยุคก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาเป็นผู้เรืองอำนาจถึงขั้นสามารถไปเยือนวังเทวาลัยเพื่อแบ่งปันความรุ่งโรจน์กับเจ้าแห่งรุ่งอรุณ”
“แล้วเขากลายเป็นอย่างที่เห็นได้อย่างไร?”
อี้ฝานเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ฮะ ๆ ก็คงเพราะเขาคือมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีกรรมเก่าเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปละมั้ง”
ครั้นเอ่ยจบ ใบหน้าส่วนล่างของชายชราก็แสดงรอยยิ้มประชดประชัน
“ไม่สิ… เพราะความโลภต่างหาก”
เขาค่อย ๆ พายไปอย่างช้า ๆ พร้อมเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตนได้รับรู้มา
“ว่ากันว่าเมื่อครั้งก่อนจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่าง เดิมทีนักรบแห่งขุนเขาเคยเป็นกองกำลังที่ภักดีต่อคนผู้หนึ่ง ช่วงเวลาหลายปีในยุคแห่งความมืด เขาร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับคนผู้นี้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ และคว้าชัยมานับไม่ถ้วน ส่วนคนผู้นั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้ายแต่อย่างใด ทั้งให้เกียรติและทรัพย์สมบัติมากมาย ทว่าเขากลับยังไม่พอใจกับสิ่งเหล่านั้น เหตุเพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายได้ครอบครองทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมายตลอดยุคแห่งความมืดที่ผ่านมา เช่นนั้นเขาจึงได้ทรยศและหันไปคบค้ากับศัตรูหวังครอบครองสมบัติ”
“กระทั่งช่วงเวลาของยุคแห่งความมืดผ่านพ้นไป ฝ่ายศัตรูแพ้พ่าย ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่างอย่างสมบูรณ์ เจ้าแห่งรุ่งอรุณจึงได้เวลาชำระความแค้นตอบแทนบุญคุณ แยกแยะดีชั่ว เขาที่รู้ตัวดีว่าตนทำสิ่งชั่วร้ายอันใดลงไปจึงรีบหอบสมบัติทั้งหมดที่มี ทุ่มสุดตัวสร้างเป็นชุดเกราะสีทองอร่าม หวังใช้มันปกป้องกายตนตลอดไป ผลสุดท้าย เขาก็ถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์ กลายเป็นเพียงนักรบเชลยทาสอยู่ในเมืองใต้ปกครองของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองใหญ่ป้องกันภัยให้เหล่ามนุษย์ตราบนานเท่านาน”
เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจากชายชรา อี้ฝานพลันนึกถึงความทรงจำกระจัดกระจายที่เขาเห็นเมื่อครั้งหลุดเข้าไปในห้วงสมุทรแห่งความทรงจำอันวุ่นวาย
เพียงแค่ไม่รู้ว่ามันเป็นความทรงจำของเขาเองหรือเป็นความทรงจำในจิตวิญญาณของนักรบแห่งขุนเขาที่แทรกซึมเข้ามาในตัวเขาโดยบังเอิญ
เรือน้อยโคลงเคลงไปมา ทันใดนั้นแสงสว่างก็สาดส่องมาตรงหน้า! อี้ฝานเห็นดวงอาทิตย์กลม ๆ เหนือผืนน้ำ แม้จะดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที แต่ยามนี้ก็เป็นเพียงยามบ่าย หากเทียบกับสุสานที่อี้ฝานตื่นขึ้นมานั้น แสงที่นี่สว่างยิ่งกว่า
ชายชราดูเหมือนหมดความอดทน เขาค่อย ๆ เคลื่อนเรือเข้าฝั่งอย่างช้า ๆ แล้วปล่อยให้อี้ฝานลงจากเรือ
“ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ตัวข้าไม่ค่อยพิศมัยในแสงสว่างสักเพียงใด ฮ่า ๆ”
ชายชราหัวเราะเบา ๆ
“ผู้คนที่นี่ ‘ใส่ใจ’ ผู้มาใหม่มากกว่าผู้คนในเมืองหมิงกวงนัก ท่านต้องระวังสักหน่อย อย่าให้ถูกจับได้เพราะการต้อนรับอันอบอุ่นจวนจะไหม้ของพวกเขาเชียว”
จากนั้นเรือก็ล่องลอยออกจากฝั่ง และค่อย ๆ หายไปในความมืดมิดของแม่น้ำ
อี้ฝานหันกลับมามองเมืองที่อยู่ข้างหน้า
“รกร้าง” คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ได้เห็นเมืองข้างหน้า
เส้นทางบนภูเขาสร้างด้วยอิฐหินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่มันก็บ่งบอกถึงร่องรอยของการมีอยู่ของมนุษย์อย่างชัดเจน ทว่ามันก็ดูเป็นงานที่หยาบมาก เห็นได้ชัดว่าภูมิปัญญานั้นอยู่ในระดับต่ำมาก
อี้ฝานลัดเลาะไปตามเส้นทางบนภูเขาจนพบกับประตูหินขนาดใหญ่ที่อยู่ปลายทาง ประตูหินที่ปิดแน่นนั้นมีสัญลักษณ์แปลก ๆ ปรากฏบนบานประตู
เขาลองผลักประตูหินดู แต่ถึงแม้เขาจะได้รับความแข็งแกร่งจากการเอาชนะคู่ต่อสู้จำนวนมาก รวมถึงนักรบหุ่นกลเหล็กดำและนักรบแห่งขุนเขาแล้วก็ตาม เขากลับไม่มีทางทำให้ประตูหินขนาดใหญ่นี้ขยับได้แม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ อี้ฝานก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาหนทางอื่นที่จะพาเขาเข้าไปยังเมืองนั้นให้จงได้
เขาพบทางเดินข้าง ๆ ประตูหิน จึงใช้ทั้งสองมือสองเท้าปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ถัดจากประตูหิน ในที่สุดเขาก็ได้เห็นบ้านเมืองที่อยู่หลังประตู
เมืองนี้ดูเล็กกว่าเมืองหมิงกวงเล็กน้อย บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากหิน ฝีมือการก่อสร้างดูแข็งกระด้างไม่งดงามเท่าบ้านเรือนในเมืองหมิงกวง แต่ก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก
อี้ฝานพบทางลาดจากด้านในของประตูหินจึงไถลลงมา ขณะที่เขากำลังไถลลงมา เขาก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ชาวบ้านตัวผอมแห้งหลายคนวิ่งกรูเข้ามาพร้อมสุนัขดุร้ายสองสามตัว ทันทีที่พวกเขาเห็นอี้ฝาน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง และไม่แม้แต่จะเอ่ยถามว่าเขามาจากที่ใด… เอาแต่โจมตีอี้ฝานอย่างไม่ลืมหูลืมตา!!
ดวงตาของพวกเขาเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายผ่ายผอมหนังหุ้มกระดูก แม้แต่สุนัขก็ยังผอม ทั้งหมดเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งไร้สติ
สิ่งที่ชาวบ้านเหล่านี้ถืออยู่มีเพียงเครื่องมือทำไร่ทำนา ทั้งคราด จอบ และเคียวเกี่ยวข้าวฟ่าง นอกจากนี้พวกเขายังแต่งกายด้วยชุดสามัญชนไร้เกราะแกร่งใด ๆ ส่วนความสามารถในการต่อสู้ก็เรียกได้ว่า… ธรรมดา
ยามนี้ปัญหาที่แท้จริงก็คือสุนัขไม่กี่ตัวที่กำลังเห่าอย่างคลุ้มคลั่งอยู่ พวกมันดุร้ายยิ่งกว่าสุนัขดุร้ายที่นักรบในเมืองหมิงกวงเลี้ยงไว้เสียอีก
อี้ฝานคิดว่าเขาต้องตายอยู่ที่นี่แน่แล้ว เพราะชาวบ้านเหล่านี้กำลังร้องเรียกให้ชาวบ้านที่เหลือออกมารวมตัวกันเพื่อทุบตีเขา พวกเขายิ่งร้องเรียก ทั้งคนทั้งสุนัขก็ยิ่งเยอะขึ้น อี้ฝานสู้ทุกวิถีทาง จนในที่สุดก็ฝ่าวงประชาทัณฑ์ออกมาได้ เขารีบวิ่งเข้าไปในเมือง ก่อนจะพบห้องเล็ก ๆ ที่ดูปลอดภัยระดับหนึ่งจึงรีบเข้าไปซ่อนตัวชั่วคราว
เขาใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ใช้แหวนเรียกหญิงสาวผู้เฝ้าสุสาน เพื่อขอให้นางช่วยสลายจิตวิญญาณที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายของเขา
“ท่านเดินทางไปถึงดินแดนต้องห้ามแล้วอย่างนั้นหรือ?”
นางถามขณะลูบฝ่ามือของอี้ฝานเบา ๆ เพื่อช่วยสลายจิตวิญญาณในร่างกายของเขา จากนั้นผู้เฝ้าสุสานสาวก็เล่าบางอย่างให้เขาฟัง
“ที่นั่นเต็มไปด้วยความลับมากมายที่เมืองอื่น ๆ ไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้ อีกทั้งผู้ที่สร้างเมืองนั้นก็เป็นคนนอกรีตในสายตาของผู้คนบนโลกนี้”
“นอกรีต?”
อี้ฝานรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณในร่างกายของเขาที่ค่อย ๆ เข้าที่เข้าทาง แล้วพึมพำออกมาเบา ๆ
“ใช่ บนโลกนี้ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อในทวยเทพทั้งสี่”
ผู้เฝ้าสุสานสาวเริ่มเล่าอีกครั้ง
“เมืองที่อยู่ใต้ปกครองของเมืองทางเหนือต่างก็นับถือทวยเทพแห่งวังเทวาลัยอย่างเจ้าแห่งรุ่งอรุณ เมืองที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำทางใต้นั้นนับถือเจ้าแห่งยมโลก ภูตที่อาศัยอยู่ในป่าตะวันออกก็นับถือเจ้าแห่งภูตของตนเอง ส่วนเหล่าคนแคระและอสูรที่อาศัยอยู่บนเขาทางตะวันตกนับถือเจ้าแห่งไฟและโลหะ”
“เจ้าเองก็คงเป็นชาวภูตใช่หรือไม่?”
อี้ฝานมองไปที่ใบหูแหลม ๆ ของหญิงสาวผู้เฝ้าสุสานแล้วเอ่ยถาม
“เดิมทีก็เป็นเช่นนั้น”
หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานถอนฝ่ามือออกแล้วเอ่ยพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เพียงแต่ข้าไม่เชื่อในสิ่งที่เรียกว่าเจ้าแห่งภูต”
“แล้วเจ้าเชื่อในสิ่งใดเล่า?”
อี้ฝานเอ่ยถามอีกครั้ง
หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานเพียงยิ้ม ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
ช่วงเวลาต่อมา หลังจากอี้ฝานกล่าวลาหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่ใจกลางเมืองอีกครั้ง
หลังจากได้พูดคุยกับหญิงสาวผู้เฝ้าสุสานแล้ว อี้ฝานก็รู้สึกว่าเขาอาจจะต้องรู้ให้ได้ว่าทวยเทพที่ชาวเมืองนับถือคือเทพองค์ใด
หญิงสาวผู้นั้นเล่าหลายอย่าง แต่นางกลับไม่ได้พูดถึงทวยเทพที่ชาวเมืองนี้เคารพบูชาสักนิด มันทำให้เขารู้สึกว่าความลับที่ถูกฝังไว้ในเมืองนี้จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับทวยเทพองค์นั้นที่ทำให้ชาวเมืองนี้ถูกตราหน้าว่า ‘คนนอกรีต’
ไม่รู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่พูดถึง หรือนางต้องการทำให้เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้จนต้องตามหาความจริงเกี่ยวกับทวยเทพองค์นั้นกันแน่
หลังจากเดินสำรวจรอบเมืองไปเรื่อย ๆ เขาก็พบว่าในเมืองนี้มีเทวาลัยแห่งหนึ่งตั้งอยู่
ภายในวิหารโดยรวมแล้วถือว่าคล้ายกับเทวาลัยของเจ้าแห่งรุ่งอรุณมาก แต่บนบัลลังก์แห่งทวยเทพกลับมีรูปปั้นของบุรุษผู้หนึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศ และถือดาบใหญ่ไว้ในมือ
ทว่ารูปปั้นทวยเทพนี้กลับไม่มีศีรษะ อี้ฝานจึงไม่อาจรู้ได้ว่าหน้าตาของบุคคลในรูปปั้นนี้เป็นอย่างไร
และในเทวาลัยแห่งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงรูปปั้นทวยเทพองค์เดียว แต่ยังมีรูปปั้นทวยเทพอีกหนึ่งองค์ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย