ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 644 คนแคระหั่วฉี
บทที่ 644 คนแคระหั่วฉี
บทที่ 644 คนแคระหั่วฉี
อี้ฝานพบสิ่งมีชีวิตหนึ่งตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังที่แห่งนี้
สิ่งมีชีวิตนั้นกำลังนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนม้านั่งมุมเทวาลัย ดังนั้นอี้ฝานจึงไม่ได้ให้ความสนใจในคราแรก หลังจากมองดูรูปปั้นแล้วไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ จึงค่อยเดินไปยังสิ่งมีชีวิตนั่น
เจ้าสิ่งนี้มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ บนม้านั่ง เมื่ออี้ฝานเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงกรนดังออกมาอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อมองจากระยะใกล้กว่าเดิม จึงพบว่าสิ่งนี้คือคนที่มีรูปร่างอ้วนกลม เคราและเส้นผมยาวปิดใบหน้า หากมองจากไกล ๆ ดูคล้ายลูกแก้วขนกลม ๆ
อี้ฝานกำอาวุธในมือไว้แน่น ขณะเดียวกันก็เอื้อมมืออีกข้างไปสะกิด ‘ลูกแก้ว’ ต้องการจะดูว่าเขายังมีสติแจ่มชัดอยู่หรือไม่
โชคยังดีที่ ‘ลูกแก้ว’ กระเด้งขึ้นมาทันทีหลังจากถูกอี้ฝานปลุก พร้อมเอ่ยด่าสบถชุดใหญ่!
“มารดามันเถอะ! ใครผู้ใดกล้ามารบกวนการนอนของข้า?”
“ต้องขออภัยที่ข้าปลุกเจ้าให้ตื่น”
อี้ฝานขยับมือที่ถืออาวุธไปไว้ด้านหลัง เพื่อไม่ให้ ‘ลูกแก้ว’ เกรี้ยวกราดใส่ ก่อนจะถามออกมา
“ข้าบังเอิญมายังที่แห่งนี้ เพื่อค้นหาความลับเบื้องหลังเมืองแห่งนี้ แล้วเจ้าเล่า?”
“หือ? ยังมีคนเป็น ๆ อยู่อีกหรือ”
‘ลูกแก้ว’ ลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งยุ่งอยู่กับการจัดผมและเครา ส่วนอีกข้างถือขวานเอาไว้ ดูแล้วคล้ายพร้อมที่จะต่อสู้เช่นกัน
“เจ้ามาจากที่ใด?”
“สุสาน”
อี้ฝานตอบกลับ
“ปรากฏว่าเจ้าก็เป็นคนที่คลานออกมาจากสุสานเหมือนกัน! ฮ่าฮ่า! เช่นนั้นพวกเราก็นับว่าเป็นพวกเดียวกัน!”
ลูกแก้วอ้วนดูมีความสุขเป็นอย่างมากโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าชื่อหั่วฉี เป็นคนแคระ และก็เป็นผู้รอดชีวิตเหมือนกับเจ้า”
มือของอีกฝ่ายคลายออกจากขวาน ก่อนจะยื่นมือออกมา อี้ฝานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกมาจับมืออีกฝ่าย
“ทำไมเจ้าถึงมายังสถานที่ที่ไม่น่าพิสมัยนี้ล่ะ?”
หลังจากจับมือกันแล้ว หั่วฉีก็ถามออกมา
“เจ้าควรจะรู้ว่าที่แห่งนี้เป็นดินแดนของพวกนอกรีต วันโลกาวินาศยิ่งทำให้พวกนั้นบ้าคลั่งยิ่งขึ้น พวกที่สมองยังไม่มีปัญหาไม่อยากจะมาที่นี่กันนักหรอก”
“จากที่ข้าได้รับรู้ระหว่างทาง ดูท่าจะยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีสติอยู่จริง ๆ”
อี้ฝานตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“ความจริงแล้ว ข้าสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป จุดประสงค์ในการมาที่นี่ก็เพราะข้าอยากมาดูว่ามีสิ่งใดช่วยรื้อฟื้นให้ได้บ้าง”
“เช่นนั้นสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า ท้ายที่สุดในเวลานี้แล้ว ไฉนเลยจะมีผู้ที่ยังปกติธรรมดาอยู่อีก?”
คนแคระหั่วฉีหัวเราะพลางกล่าวออกมา
“เจ้าสูญเสียความทรงจำไป ทว่าดูเหมือนเจ้าจะมีชีวิตอยู่เมื่อครั้งนานมากแล้ว บางทีอาจเป็นคนเก่าคนแก่จากช่วงต้นยุคแสงสว่าง… ไม่แปลกใจเลยที่ข้าจะไม่เห็นเจ้าในยมโลก”
คนแคระผู้นี้กระตือรือร้นและช่างพูดจา ทำให้อี้ฝานอดไม่ได้ที่จะสนทนากับเขาต่อ
“ยมโลก? อันที่จริงแล้วความทรงจำเกี่ยวกับยมโลก ข้าเองก็ไม่มีมัน”
อี้ฝานเกาใบหน้าตัวเอง
“จริง ๆ แล้ว ตอนที่ตื่นขึ้นมา ข้าพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปกคลุมไปด้วยรากไม้ หลังจากนั้นข้าก็เดินตามทางออกมาจากห้องนั้น จนกระทั่งออกมาด้านนอกสุสาน”
“บางทีเก้าอี้ตัวนั้นอาจเป็นของยมโลก”
หั่วฉีราวกับจะนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ เจ้าจำไม่ได้ก็ดีแล้ว ยมโลกไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก ยิ่งเมื่อถึงวันโลกาวินาศ ประตูยมโลกถูกพังลง ทำให้ด้านในเต็มไปด้วยอสูร แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถตายอีกครั้ง ทว่าความรู้สึกเหมือนโดนอสูรกินทั้งเป็นนั้นไม่น่าอภิรมณ์นัก ข้าว่าเทพที่ดูแลยมโลกคงตายไปเสียแล้ว ที่แห่งนั้นถึงได้ถูกทิ้งไว้ไร้คนดูแล”
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในยมโลกจะไม่ค่อยดีนัก
อี้ฝานครุ่นคิด ก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง
“แล้วเจ้าเล่า มาทำอะไรที่เมืองแห่งนี้?”
“ข้างั้นหรือ? ข้าแค่ไม่อยากจะถูกอสูรกิน จึงถือขวานเดินทางออกจากยมโลก คิดแล้วคิดอีกก็พบว่าข้ายังไม่เคยมายังประเทศนอกรีตแห่งนี้มาก่อน เลยคิดอยากจะมาดู”
หั่วฉีพูดออกมาเสียงฮึดฮัด
“ข้าเองก็เป็นช่างตีเหล็กผู้หนึ่งเหมือนกัน ได้ยินมาว่ามีหินเหล็กไฟมากมายในเมืองต้องห้ามแห่งนี้ ดังนั้นจึงอยากจะได้มันมา ที่ยมโลกไร้ซึ่งเปลวเพลิง ในฐานะช่างตีเหล็กแล้ว ข้าย่อมต้องการเตาที่ลุกโชนด้วยไฟ… แม้จะเป็นวันโลกาวินาศก็ตาม”
“เป็นเช่นนี้เอง”
อี้ฝานถอนหายใจ
“ใช่แล้ว อย่างไรเสียข้าเองก็ไม่มีเรื่องอะไรจะต้องทำอยู่แล้ว ดังนั้นหากเจ้าสามารถหาหินเหล็กไฟและอุปกรณ์อะไรที่ดูเข้าตา ก็นำมันมาให้ข้าช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาวุธและอุปกรณ์เจ้าได้ฟรี ๆ”
หั่วฉีลูบเครารุงรังของตัวเอง แล้วหยิบหินเหล็กไฟออกมาให้อี้ฝานดู
“นี่คือหินเหล็กไฟ สิ่งที่พวกเราใช้ในการจุดไฟ อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ฝีมือข้ายังคงอยู่เหมือนเดิมนะ”
“ตกลง”
อี้ฝานพยักหน้า
หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยถามหั่วฉีเกี่ยวกับข้อมูลของเมืองแห่งนี้ ทว่าหั่วฉีเองก็รู้เพียงน้อยนิด
“ข้าเพียงได้ยินจากคนในโลกยมโลกว่า เมืองแห่งนี้เป็นพวกนอกรีตหัวรุนแรง สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ทุกวี่ทุกวันคือวิธีในการสังหารเทพอีกสี่ตน”
หั่วฉีหวนนึกแล้วกล่าวออกมา
“ได้ยินมาว่าเมืองแห่งนี้ได้เลี้ยงดูสัตว์ประหลาดต้องห้ามตนหนึ่งให้กลายเป็นเทพเจ้า ดูเหมือนว่าเขาจะยังคงหลับใหลอยู่ รอคอยที่จะตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่โลกใบนี้สูญสิ้น”
“อย่างนั้นหรือ?”
อี้ฝานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นข้าจะลงไปดูเสียหน่อย”
“เฮ้ย?”
หั่วฉีหน้าซีดลงด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังแสวงหาความตายอยู่หรอกนะ? ถึงแม้นั่นจะเป็นเทพอสูร แต่ก็ยังเป็นเทพ!”
“ข้ารู้แล้ว แต่เจ้าไม่ได้เป็นคนบอกข้าเองหรือว่ากฎระเบียบของยมโลกพังทลายลงแล้ว พวกเราที่ตายแล้วจึงไม่สามารถตายอีกครั้งได้?”
อี้ฝานคิดต่ออีกครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไป
“ข้าเพียงแค่อยากจะไปเห็นมัน”
“ก็ได้ ๆ”
หั่วฉีมองไปทางอี้ฝานด้วยสายตาแปลกประหลาด
“หากเจ้าอยากจะตายข้าเองก็ไม่สามารถจะหยุดอะไรได้”
หั่วฉีชี้ไปยังเส้นทางมุ่งลงใต้ดินของเมือง
อี้ฝานกล่าวขอบคุณเขา บอกให้หั่วฉีทราบว่าสุสานเป็นสถานที่อันปลอดภัย ก่อนจะกล่าวคำลา
ตามที่หั่วฉีกล่าว นอกจากภายนอกเมืองแล้ว แม้กระทั่งด้านใต้ของเมือง ยังถูกก่อสร้างอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นสถานที่สำหรับขุดแร่ เลี้ยงทาส และเซ่นสักการะเทพเจ้าชั่วร้าย
สาเหตุที่หั่วฉีรู้เรื่องนี้ก็เพราะเขาเคยไปยังที่แห่งนั้นมาแล้ว นอกจากจะเป็นฐานลับอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดของเมืองแห่งนี้แล้ว ยังเป็นแหล่งหินเหล็กไฟและแร่โลหะหายากมากมาย
อี้ฝานสามารถสัมผัสได้ตลอดทั้งเส้นทาง เขาพบว่าในเหมืองแห่งนี้มีศัตรูที่น่ากลัวมากกว่าบนพื้นดิน พวกคนขุดเมืองนั้นบ้าคลั่งยิ่งกว่า นักบวชนอกรีตยังใช้คาถาอันน่ากลัวเรียกเปลวเพลงโหมกระหน่ำ และที่น่ารำคาญใจที่สุดคือ สุนัขที่พวกเขาเลี้ยงไว้ใต้ดินนั้นไม่รู้ว่ากลายพันธุ์ไปเช่นไร จึงสามารถพ่นไฟออกมาได้
นอกจากพวกเหล่านี้แล้ว ใต้ดินยังคงมีสัตว์ประหลาดอยู่มากมาย เช่น ค้างคาวที่ตัวลุกเป็นไฟ มังกรบินขนาดเล็ก และกิ่งก่า
แต่นอกเหนือจากสัตว์ประหลาดที่อันตรายเหล่านี้แล้ว อี้ฝานยังสามารถเก็บหินเหล็กไฟจำนวนมากได้ เขาใช้แหวนดอกไม้จากหญิงสาวผู้เฝ้าสุสานเก็บพวกมันทั้งหมดไป
ขณะที่กำลังเดินทางต่อไป อี้ฝานก็รู้สึกได้ว่าชุดเกราะเก่าโทรมของตัวเองแทบจะไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากเดินทางมาไกล ในที่สุดเขาก็มาถึงส่วนถึงสุดของเมือง
ที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยลาวา อุณหภูมิร้อนจัดอยู่ตลอดเวลาสร้างความทรมานให้กับทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่ สองข้างทางเป็นสายธารลาวาไหลเอื่อยดังลำน้ำ เปลวไฟพุ่งออกมาจากรอยแตกบนพื้นดินเป็นครั้งคราว
ณ ปลายสุดของสายธาร ลาวาได้ไหลรวมกันกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ และสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘เทพผู้ชั่วร้าย’ ได้ถูกผนึกเอาไว้ที่นั่น