ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 646 เมืองยมโลก
บทที่ 646 เมืองยมโลก
บทที่ 646 เมืองยมโลก
“นี่มันไร้สาระสิ้นดี!”
“ทั้ง ๆ ที่พวกเราต่างก็เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมา เหตุใดพวกเจ้าจึงกลายเป็นเทพเจ้าผู้สูงส่งเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง แต่ข้ากับชาวเมืองทั้งหลายกลับกลายเป็นคนบาปต้องใช้ชีวิตอยู่กับผลกรรมที่เจ้าเป็นผู้ก่อขึ้น?!”
“พวกเจ้ามันชั่วช้าสารเลว! ไอ้หมาเนรคุณ! ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! ฆ่าพวกเจ้าให้หมด!”
“คอยดูเถอะ! ข้าจะลากเจ้าลงจากบัลลังก์บนสวรรค์ ดึงเจ้าขึ้นมาจากบัลลังก์ใต้พิภพ ข้าจะทำให้ลูกหลานของพวกเจ้าถูกเปลวไฟแห่งกรรมแผดเผาไปชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เศษเสี้ยวความทรงจำแวบเข้ามาในหัวอี้ฝานท่ามกลางความง่วงงุน
เขาเห็นนักรบชายร่างสูง เส้นผมสีแดงเพลิงกำลังร้องเรียกอย่างโกรธเกรี้ยวใส่คนพวกหนึ่ง
เศษเสี้ยวของความทรงจำเหล่านี้แวบหายไป จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นจากการสลบไสล
“ฮะ ๆ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นสักที”
ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น เสียงหัวเราะที่คุ้นเคยก็พลันลอยเข้ามาในหู
อี้ฝานลุกขึ้นจากเรือก่อนจะหันซ้ายหันขวามองรอบ ๆ ก็รู้แจ้งว่าตอนนี้เขาอยู่บนเรือลำเล็กกับชายชราหลังค่อมอีกแล้ว …ใบหน้ามืดมนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอยู่ข้าง ๆ กำลังพายเรือน้อยเป็นจังหวะ
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
อี้ฝานลุกขึ้นมานั่งท่าขัดสมาธิ…
“เหตุใดข้าถึงมาอยู่กับเจ้าที่นี่ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่เมืองใต้พิภพของเมืองต้องห้าม…”
“นั่นมันเพราะเจ้าตายแล้วอย่างไรเล่า!”
ชายชราหัวเราะเยาะเสียงเหมือนนกฮูก
“เจ้ามันคนไม่เจียมตัว! กล้าดีอย่างไรไปท้าทายอำนาจเทพอสูรของเรา เจ้าทำตัวเจ้าเองนะ บัดนี้ทุกอย่างที่อยู่ที่นั่นพังทลายจนหมดสิ้น ส่วนตัวเจ้าก็มาโผล่บนเรือของข้า ข้าจึงต้องไปส่งเจ้าที่ยมโลกอย่างไรเล่า!”
“แล้วของของข้าล่ะ?”
อี้ฝานรีบสำรวจร่างกาย เมื่อพบว่าชุดเกราะและโล่ของเขายังอยู่ข้างหลังจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“ข้าเป็นคนพายเรือ ไม่ใช่โจร”
ชายชรามองเขาตาขวางพร้อมเอ่ยถากถาง
“ผ้าขี้ริ้วที่เจ้าเก็บมาจากสุสานนั้น ผู้ใดเล่าจะอยากได้ ส่วนโล่นั้นผู้ที่จะใช้มันได้ก็มีเพียงผู้ที่ได้รับพลังของนักรบแห่งขุนเขาเท่านั้น เช่นนั้นมันจะมีประโยชน์อันใดกับข้า”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
อี้ฝานถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลันนึกถึงเรื่องอื่น…
พูดถึงพลัง เขาสังหารเทพอสูรในทะเลลาวาได้ อันที่จริงเขาอาจจะได้รับจิตวิญญาณของเทพอสูรนั่นด้วย
เขาหลับตาพยายามสัมผัสถึงมัน ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณที่ร้อนเหมือนลาวาที่ไหลช้า ๆ อยู่ในร่างกาย
“ฮะฮะฮะ เจ้านี่โชคดีจริง ๆ แม้แต่จิตวิญญาณของอสูรตัวนั้นเจ้ายังรับมันไว้ได้”
ชายชราเห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะลั่นพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เดิมทีข้าคิดจะเรียกเงินจากเจ้าสักเล็กน้อยสำหรับการนั่งเรือข้ามแม่น้ำนี้ แต่จิตวิญญาณในร่างของเจ้าพวกนั้นหากเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปคงทนแบกรับมันไว้ไม่ได้ แต่เจ้ากลับสามารถเก็บมันไว้ในร่างกายของเจ้าได้ ซึ่งมันน่าทึ่งมาก”
แม้ได้ยินเช่นนั้น อี้ฝานก็ไม่แสดงท่าทีใด ๆ เอาแต่นิ่งเงียบ
“เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า… ว่านักรบคนนั้นกลายเป็นเทพอสูรได้อย่างไร”
ชายชรากระซิบบอกขณะที่มือก็ยังพายเรือต่อไป
“เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องกับข้อห้ามสำคัญด้วย”
“เรื่องมันเป็นมาอย่างไรหรือ?”
อี้ฝานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เจ้าไปตามหาความจริงด้วยตัวเองที่ยมโลกเถอะ”
พูดจบชายชราก็หัวเราะ อีกแล้ว…
“เท่าที่ข้าจำได้ หลังจากเกิดภัยพิบัติ… ห้องศิลาที่บันทึกเรื่องราวในอดีตที่สาบสูญของเมืองก็ได้จมหายลงสู่ดินแดนยมโลก ทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ล้วนอยู่ในนั้น ไม่แน่ว่าอาจมีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าได้รู้ที่มาที่ไปของตัวเองด้วยก็ได้… แต่ก็แค่อาจจะนะ”
เขาพูดกับอี้ฝานด้วยน้ำเสียงเหมือนกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องผียามราตรี
“ยามนี้ยมโลกเต็มไปด้วยอสูร ถ้าเจ้าหามันเจอ นั่นก็หมายความว่าเจ้าจะไม่กลายเป็นอาหารของอสูร ฮะฮะฮะ”
ต่อมาเพียงชั่วครู่ เรือน้อยค่อย ๆ เทียบฝั่งในความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
อี้ฝานรู้สึกเหมือนกับว่าเรือชนบางอย่างเข้าให้แล้ว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินคนพายเรือส่งเสียงกระซิบบอกเขา
“ถึงยมโลกแล้ว ลงจากเรือเถอะ”
เขาแสดงความเมตตาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการยกตะเกียงที่ตั้งอยู่บนเรือขึ้นส่องทางให้อี้ฝานเห็นระยะห่างระหว่างริมฝั่งกับเรือข้ามฟากลำเล็กที่ปรากฏขึ้นในความมืด ไม่เช่นนั้นอี้ฝานอาจก้าวพลาดตกลงไปในแม่น้ำเย็นยะเยือกที่ไร้ก้นบึ้งนี้ได้
“เจ้าส่งข้ากลับโลกมนุษย์ตอนนี้ได้หรือไม่?”
ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบดินแดนยมโลก บางทีนี่อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการเกลียดชังที่มีต่อความมืดที่ทำให้อี้ฝานเอ่ยถามชายชราผู้พายเรือทันใด
“กฎต้องเป็นกฎ ท่านนักรบ”
ชายชรายังไม่วายเอ่ยเย้าหยอกเขา
“หากเจ้าสามารถหาเรือข้ามฟากอีกลำที่นี่ได้ให้ตีฆ้องเรียก ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกมนุษย์เอง”
พูดจบชายชราก็ออกเรือ ค่อย ๆ หายเข้าไปในความมืด เพียงไม่นาน อี้ฝานก็ไม่ได้ยินเสียงพายเรืออีกเลย
บัดนี้อี้ฝานผู้อับจนหนทางทำได้เพียงจำใจหันหลังกลับแล้วเดินหายเข้าไปในความมืด
เดินไปได้เพียงสองก้าว เขาก็หวนคิดถึงสิ่งที่เทพอสูรลาวาทิ้งออกมาหลังจากสิ้นใจ
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี หลังจากที่เทพอสูรระเบิดตัวเอง เขาก็มาโผล่ที่ยมโลกนี้แล้ว จึงไม่รู้ว่าเทพอสูรทิ้งอาวุธและอุปกรณ์เหมือนการต่อสู้ครั้งก่อน ๆ หรือไม่
แต่ถึงจะทิ้งสิ่งใดไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก เพราะยามนี้ทั้งเกาะกลางน้ำหรือแม้แต่เมืองใต้พิภพของเมืองต้องห้ามก็ล้วนถูกเทพอสูรตนนั้นทำลายจนหมดสิ้น อย่างไรเสียก็ไม่มีทางได้มันมาแล้วแหละ
ทว่าอี้ฝานกลับมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เทพอสูรทิ้งไว้ไม่ใช่ทั้งอาวุธหรืออุปกรณ์ แต่เป็นพลังบางอย่างที่แทรกซึมเข้ามาในตัวเขาโดยตรง
ทันทีที่บุรุษเกศาขาวตื่นขึ้นบนเรือ เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย อีกทั้งยังรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ครั้นนึกถึงกระแสความร้อนที่เพิ่งได้มาล่าสุด อี้ฝานก็ยกมือขึ้นพยายามรวบรวมพลังที่ว่า และแล้วเขาก็ทำสำเร็จทันใด เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ในดินแดนใต้พิภพอันมืดมิดไร้แสงสว่างนี้ เปลวไฟทั่ว ๆ ไปไม่มีทางจุดขึ้นได้ง่าย ๆ ทว่าเปลวไฟนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีหนทางป้องกันตัวในยามไร้ที่พึ่งอย่างตอนนี้ แต่มันยังให้แสงสว่างรอบ ๆ ตัวเขาด้วย
แสงจากไฟทำให้อี้ฝานได้รู้ว่ากำลังเดินบนเส้นทางที่แสนขรุขระ ความมืดรอบ ๆ ดูเหมือนมีบางสิ่งกำลังวิ่งไปวิ่งมา มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอันตรายเต็มเปี่ยม
หลังจากเดินต่อไปได้สักพัก ลางสังหรณ์ก็เป็นจริง…
สัตว์ประหลาดที่อยู่ในความมืดพุ่งออกมาโจมตีเขาทันที สัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่มีตา รูปร่างเหมือนมนุษย์พุงพลุ้ย เดินสี่ขา ส่วนท้องเป็นปากขนาดใหญ่มีฟันใหญ่แหลมคมโผล่ออกมารอบ ๆ ปากดูเหมือนเครื่องบดเนื้อที่มีเศษเนื้อเน่าติดอยู่และส่งกลิ่นเหม็นออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูรวม ๆ แล้วมันทั้งน่าเกลียดน่ากลัว
แม้ว่าอี้ฝานจะใช้ไฟเผาสัตว์ประหลาดพวกนี้จนดำเป็นตอตะโก แต่ด้วยขนาดตัวที่เหนือกว่าของพวกมันทำให้อี้ฝานพลาดท่าโดนกัดเข้าที่แขน!
“พวกมันคืออสูร!”
อี้ฝานตัดสินใจหาที่ซ่อนตัว ก่อนจะรีบสวมแหวนดอกไม้เพื่อขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวผู้เฝ้าสุสาน หลังจากที่นางปรากฏตัว นางก็รีบรักษาบาดแผลที่แขน และช่วยสลายจิตวิญญาณของเทพอสูรในตัวอี้ฝานให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับค่อย ๆ เล่าบางอย่างให้อี้ฝานฟัง
“ไม่ว่าจะยุคแห่งความมืดหรือยุคแห่งแสงสว่าง พวกมันก็ยังคงเป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจที่เผ่าพันธุ์คล้ายมนุษย์ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา คนแคระ หรือภูต พวกมันอาศัยอยู่ในความมืดที่แสงอาทิตย์ไม่เคยส่องถึง พวกมันกินเลือดเนื้อและวิญญาณของสิ่งมีชีวิต รวมถึงซากศพเป็นอาหาร นอกจากกินแล้วก็ยังเก็บไว้ในท้องเหมือนกับลิงที่เก็บอาหารไว้ที่แก้ม และด้วยความที่พวกมันดูดกลืนวิญญาณเข้าไปด้วย ทำให้วิญญาณพวกนั้นจะไม่มีวันถูกปลดปล่อย เว้นเสียแต่ว่าอสูรพวกนั้นจะถูกสังหาร”
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านยอดนักรบจะเดินทางมายังแดนยมโลก ที่นั่นทั้งลึกลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยอันตรายยากจะคาดเดา ท่านต้องระวังตัวมากกว่านี้ อย่าได้ประมาทแม้แต่น้อยเชียว”