ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 648 วู่วาม
บทที่ 648 วู่วาม
บทที่ 648 วู่วาม
“หญิงผู้สูงศักดิ์นั้นไปทำสิ่งใดภายในยมโลกเล่า?”
อี้ฝานพึมพำ
“แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องทราบ สิ่งที่ข้าต้องทำคือปกป้องคนผู้นั้น”
หลายหยาตอบกลับ
“ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการเดินทางของท่านแล้ว เวลานี้ข้าจำเป็นต้องออกไปพบกับคนผู้นั้น… อย่างไรก็ตาม นี่คือคำขอบคุณจากข้า หากพบเจอคนผู้นั้นระหว่างทาง โปรดบอกกล่าวกับเขาว่าให้รอข้า อย่าหนีไปที่ใด”
หลายหยากล่าวคำ ก่อนจะยื่นกริชเล่มหนึ่งออกมา
กริชคมปลาบสลักอักขระโบราณเปล่งแสงสีขาว เห็นได้ชัดว่าเป็นของมีค่า
อี้ฝานไม่คิดปฏิเสธ เขาหยิบกริชเล่มนั้นเหน็บไว้ที่เอวก่อนจะพยักหน้ารับ
“อืม”
หลังจากทั้งสองแยกทาง หลายหยาเดินตรงไปจนถึงส่วนลึกของยมโลก ขณะที่อี้ฝานหันออกไปทางซ้าย เดินผ่านเข้าประตู เมื่อครั้งที่เขาต่อสู้กับอสูรตัวใหญ่ก่อนหน้า เปลวไฟทั้งหมดดับมอดทำให้เขามองเห็นบ้านเมืองที่พังทลายด้านซ้ายได้เลือนราง มันคล้ายกับสถาปัตยกรรมแห่งแดนต้องห้ามอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากสังหารสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับมนุษย์ต่างดาวจำนวนมาก อี้ฝานมาหยุดยืนหน้าอาคารแห่งนั้น
เขาเดินวนไปรอบ ๆ อาคาร ก่อนจะพบเจอทางเข้าในที่สุด
ภายในอาคารคล้ายจะเป็นห้องบางอย่าง เพราะผลกระทบจากการพังทลาย วัสดุต่าง ๆ เกลื่อนกลาดบนพื้น มีเพียงขี้เถ้าสีขาวหนาเตอะหลงเหลือให้ดูต่างหน้า
อี้ฝานเอื้อมมือออกไปหยิบจับวัสดุบนพื้น แต่มันเก่าเกินไป เพียงแค่สัมผัสบางเบายังทำให้กลายเป็นฝุ่นผง
เวลานี้อี้ฝานตระหนักทราบแล้วว่าขี้เถ้าเหล่านี้คือสิ่งใด
“อ่า มองไม่เห็นอะไรเลย…”
เขายังคงเดินสำรวจไปรอบอาคาร ทันใดนั้นจึงได้พบกับร่างหนึ่งโดยไม่คาดคิด
ชายผู้นั้นสวมชุดเกราะสีขาวและสวมหมวกยืนพิงกำแพงตรงด้านหนึ่งของอาคาร สายตามองตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ดูคล้ายจะสับสนและหลงทางอยู่ในภวังค์
อี้ฝานเดินเข้ามาด้านข้างชายสวมชุดเกราะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“หลายเส้อ?”
“หลายเส้อ!”
หลังจากอี้ฝานตะโกนออกมาถึงสองครั้ง คนรับใช้ผู้นั้นฟื้นตื่นจากภวังค์พร้อมหันกลับ
“โอ้ เป็นท่านนั่นเอง นักรบอี้ฝาน”
หลายเส้อยกยิ้มอย่างขอโทษ
“ข้าต้องขอโทษแล้ว พอดีข้าคิดบางสิ่งเพลินไปสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร ข้าเพิ่งได้เจอน้องสาวเจ้าเมื่อครู่”
อี้ฝานส่ายศีรษะพร้อมกล่าวกับเขา
“หลายหยา? นางมาทำสิ่งใดที่นี่?” หลายเส้อรีบถาม “นางปลอดภัยหรือไม่?”
จากนั้นอี้ฝานจึงเล่าเรื่องของหลายหยาให้ผู้เป็นพี่ชายฟัง
“อย่างไรก็ตาม อสูรกลืนกินผู้ยิ่งใหญ่ยืนเฝ้าประตูยมโลกเสมอมา เจ้าไม่พบเจอมันงั้นหรือ?”
อี้ฝานกล่าวถาม
“หลังจากที่มันกลืนกินน้องสาวของท่านเข้าไป ท้องของมันคงถูกเติมเต็มแล้ว คงไม่เป็นไร”
“แต่ข้าไม่ได้พบเจอมันจริง ๆ เมื่อมาถึงที่นี่”
หลายเส้ออธิบาย
“ในวันสิ้นโลก ไม่เพียงแต่มิติเวลาจะวุ่นวายเท่านั้น แต่เวลาภายในเมืองเหล่านี้ก็วุ่นวายด้วยเช่นกัน ทุกคนจึงอยู่ในห้วงเวลาที่แตกต่าง บางทีข้าอาจจะมาที่นี่ช้ากว่า จึงไม่ได้พบกับอสูรกลืนกินร่างยักษ์นั่น แล้วก็ไม่ได้พบหลายหยาด้วย”
“โอ้”
อี้ฝานพยักหน้าพร้อมกล่าวถามอีกครั้ง
“แล้วเมื่อครู่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่งั้นหรือ? สีหน้าดูเคร่งเครียดไม่น้อยแล้ว”
“อ้อ ไม่มีอะไร”
หลายเส้อกล่าวอย่างมีเลศนัย
“ในนี้ไม่มีอะไรให้รับชมแล้ว ออกไปกันเถิด”
“รีบไปไหน ข้ายังสำรวจไม่เสร็จสิ้น”
อี้ฝานมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบแผ่นศิลามากมายหลายแผ่นที่มุมห้อง
เขาไม่คิดประมาท เมื่อเห็นว่าหลายเส้อมีท่าทีแปลกไป จึงกระชับกระบี่ด้านหลัง พร้อมสายตาจับจ้องหลายเส้อไว้ก่อนเอนตัวออกไปทางแผ่นศิลา
หลายเส้อมองอี้ฝานผู้ไร้เดียงสา ก่อนที่ลำแสงในมือของเขาจะค่อย ๆ เลือนหายไป
“ลืมไปเถอะ หากต้องการสำรวจก็เชิญแล้ว ข้าจึงขอตัว”
เขาหันหลังกลับและเดินออกไป
“สุดท้ายมันก็เป็นเพียงวันสิ้นโลก ประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้กล่าวถึง”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายของหลายเส้อ อี้ฝานจึงละมือลง
เขาเดินมาถึงแผ่นศิลาจำนวนมากก่อนจะเริ่มสำรวจอักขระที่สลักไว้บนแผ่นหินเหล่านี้
อักขระเหล่านี้เป็นสิ่งที่อี้ฝานไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเขากลับเข้าใจมันได้อย่างน่าอัศจรรย์
มีเรื่องราวจารึกไว้บนแผ่นศิลาเหล่านี้
“ในยุคแห่งความมืดยาวนาน นักรบทั้งเจ็ดร่วมกันต่อสู้กับปีศาจร้าย และได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากต้นไม้”
“พวกเขานำยุคแห่งแสงสว่างมาสู่โลก และนักรบผู้ถ่อมตนที่สุดได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ ส่วนนักรบผู้มีเมตตายิ่งกลายเป็นจักรพรรดินี นักรบผู้แสนเย็นชากลายเป็นผู้นำแห่งเทือกเขาตะวันตก นักรบผู้ภักดีที่สุดปกครองอาณาจักรป่าตะวันออก นักรบที่ขยันขันแข็งอาสาสร้างปราสาทและกลายเป็นผู้พิทักษ์โลกใบนี้ ส่วนนักรบผู้ตระหนี่ที่สุดถูกลงโทษด้วยการทิ้งให้เฝ้าประตูให้กับราชาของมนุษย์”
“มีเพียงนักรบที่แข็งแกร่งและอ่อนโยนที่สุดเท่านั้นที่ถูกกีดกัน เขาและคนรักไร้ซึ่งที่อยู่ ไร้อำนาจ ไม่มีสิ่งใดติดตัว”
“นักรบผู้นั้นออกท่องไปในแผ่นดินกว้างใหญ่พร้อมกับคนของตนเอง ไม่ว่าพวกเขาจะสัญจรไปที่ใด มักจะถูกนักรบคนอื่น ๆ ปฏิเสธและประนามว่าเป็นพวกนอกรีตเสมอ”
“นักรบผู้อ่อนโยนที่สุดจึงขุ่นเคือง เขายืนบนพื้นดิน เงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ามองดิน ตะโกนไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก แต่สหายเก่าทั้งหมดไม่มีผู้ใดตอบรับ”
“ดังนั้นนักรบผู้นี้จึงมุ่งหน้าสู่เทือกเขาต้องห้าม เขาได้พบกับคริสตัลสีแดงเข้ม กลืนกินมันในคำเดียว ก่อนจะกลายเป็นเทพอสูรผู้แข็งแกร่ง”
“ถูกหักหลังงั้นหรือ? ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงต้องขุ่นเคืองเช่นนี้”
เมื่อถึงนึกการปรากฏตัวของอสูรลาวาในทะเลสาบลาวาแล้ว อี้ฝานเริ่มคาดเดาบางสิ่งในใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า… ข้ามันคนตายไร้นาม!”
เขานึกถึงความโศกเศร้าในหัวใจที่กำลังสั่นไหว ความเจ็บปวดเมื่อได้พบเจอเมื่อเห็นเทพอสูรลาวา เวลานี้จึงอดไม่ได้ที่จะสับสนเล็กน้อย
“สตรีที่ดูแลสุสานและคนเดินเรือเฒ่าต้องตระหนักทราบเรื่องนี้ดี แต่พวกเขากลับคิดปิดบังไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน”
อี้ฝานเกาศีรษะพร้อมครุ่นคิดต่อไป
“แต่ทั้งสองคนกำลังชี้ทางให้ข้า คนหนึ่งตั้งใจ แต่อีกคนดูไม่ตั้งใจ แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนแต่มีแผนการลุ่มลึก ข้าควรเชื่อผู้ใดดี…”
“ช่างเถอะ”
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ อี้ฝานก็ล้มเลิกความคิดที่ไร้ประโยชน์นี้ไปโดยสมบูรณ์
“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนความจำเสื่อม ไม่มีสิ่งใดชี้ทาง และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้ จะไปทราบจุดประสงค์ของพวกเขาได้อย่างไรเล่า”
เขานึกคิด
“ข้าเพียงแค่ทำตามความปรารถนาของพวกเขาก็พอ และเมื่อสำเร็จ ข้าจึงจะทราบว่าพวกเขาคิดสิ่งใดอยู่”
เขาเดินออกจากอาคารก่อนจะมองไปยังใจกลางยมโลกซึ่งเป็นสถานที่ของเจ้าแห่งยมโลก สถานที่แห่งนั้นมืดมิดเสียยิ่งกว่าเวลากลางคืน
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการออกจากสถานที่ชวนขนลุกของยมโลกและมุ่งสู่สถานที่อื่น ๆ ที่ดูจะงดงามกว่า”
เขาเดินตรงไปยังพระราชวังเทพแห่งความตายก่อนจะส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าชาติที่แล้วข้าจะเป็นคนวู่วามไม่น้อย!”