ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 649 จอมเทพอสูร
บทที่ 649 จอมเทพอสูร
บทที่ 649 จอมเทพอสูร
หลังจากผ่านการเดินทางอันยากลำบาก ในที่สุดอี้ฝานก็มาถึงเทวาลัยของเจ้าแห่งยมโลก
เป็นอย่างที่ฮั่วฉีกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดยอสูรและกลายเป็นเมืองอสูรอย่างสมบูรณ์ หลังจากเข้าสู่ยมโลกแห่งนี้ อี้ฝานเดินมาจนสุดทางและได้พบว่ามีนักรบหลายคนถูกอสูรกลืนกินกัดกร่อนจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เกราะหนักยังคงถูกสวมใส่ แต่มันก็เป็นเพียงการยืนหยุดนิ่งไร้วิญญาณ ร่างกายของพวกเขาบิดเบี้ยวและบางส่วนขาดหายไปดูน่าขยะแขยง
บางตัวมีดวงตากลมโตที่แขน ศีรษะของพวกมันบิดเบี้ยวผิดปกติ และบางตัวกลายร่างเป็นอสูรฟันแหลมคม กรงเล็บยืดยาวและกินมนุษย์เป็นอาหาร
อี้ฝานใช้ความพยายามอย่างหนักในการหลบหนีออกจากวงล้อมของพวกมัน จนกระทั่งมาถึงประตูเทวาลัยเจ้าแห่งยมโลก
เทวาลัยที่ถูกปกครองโดยยมโลกไม่ทราบว่ามันพบเจอกับภัยพิบัติใดบ้างก่อนหน้านี้ ทั้งคานและเสาหนา ๆ ล้วนแต่ผุพัง ดินและหินเกลื่อนกลาดขวางเส้นทาง อี้ฝานคร้านเกินกว่าจะเปิดเส้นทางให้ดี เขาหันมองโดยรอบก่อนจะพบประตูครึ่งหนึ่งที่ด้านข้าง จึงเปิดมันออกและตรงเข้าสู่ด้านในทันที
หลังประตูมืดสนิท แต่ภายในใจกลางความมืดนี้ดูเหมือนจะมีแสงเรืองรองเปล่งประกาย
อี้ฝานสัมผัสได้ถึงจุดจากลำแสงเหล่านั้น เขาตรงเข้าหามัน จนกระทั่งพบเจอห้องโถงใหญ่คล้ายกับโถงบัลลังก์ เวลานี้หูของเขาเริ่มอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้ง
“สองครั้งแล้ว… และนี่คือครั้งที่สาม…”
อี้ฝานสบฟันแน่น หลังจากประสบการณ์สองครั้งติดต่อกัน เขาจดจำได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เวลานี้จึงใช้มือเหยียดออกจับขอบประตูเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายล้มลง
เขาได้ยินเสียงเย็นชาดังก้องอยู่ในหู
“ถ่อมตน ภักดี อดทน ขยัน ตระหนี่ แข็งแกร่ง เมตตา”
“เมื่อเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่ง จงกล้าหาญ ความกล้าหาญและซื่อสัตย์คือคุณสมบัติของบรรพบุรุษ จงซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม ยอมตายดีกว่ายอมจำนน ปกป้องผู้อ่อนแอ ไม่ละเมิดวิถีสวรรค์!”
“ข้าสาบาน…”
คราวนี้ เสียงก้องในหูของอี้ฝานกลายเป็นความวุ่นวาย
ภายในความมืดมิด เสียงชั่วร้ายเปล่งออกเย้ยหยัน
“หยุด! เลิกสาบานเสียที! ข้ารับฟังคำโกหกของเจ้ามากเกินไปแล้ว! ฮิฮิฮิ!”
ตูม ตูม!
เกิดเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้น อสูรร่างใหญ่ค่อย ๆ ก้าวออกจากความมืด
ร่างกายของมันปกคลุมด้วยโคลนหนืดสีดำ ก้อนโคลนสีดำเหล่านี้เปรียบกับแก่นแท้ของความสกปรกโสมมที่สุดในโลก เมื่อมันเคลื่อนที่ ร่างกายนั้นก็สั่นไหวตลอดเวลา
แขน ขา และศีรษะของมันหยาบกร้าน ทุกครั้งที่ย่างก้าว สัดส่วนในร่างกายแปรผันไปจากเดิม สิ่งนี้ไม่ต่างจากดินน้ำมันก้อนใหญ่ที่สั่นคลอนไม่หยุด
แสงที่อี้ฝานเห็นก่อนหน้านี้มาจากกระดูกในมือของมัน เป็นดั่งหนามแหลมคมขนาดใหญ่ด้านบน เป็นร่างมนุษย์ที่ถูกหนามแหลมทะลุจากด้านล่างสู่ด้านบน ร่างกายทั้งหมดราวกับถูกแขวนไว้
ชายผู้นั้นสวมหน้ากากเกราะสีเงิน ชุดเกราะหนักสีเงินพิสุทธิ์พร้อมเสื้อคลุมตัวยาว มีแสงเรืองรองออกจากร่างกาย มันมาจากอัญมณีที่ฝังอยู่บนหมวกเกราะของเขา
อี้ฝานเดาว่านี่อาจจะเป็นเจ้าแห่งยมโลกในตำนาน
“โอ้ นึกไม่ถึง อาหารสดใหม่มาส่งถึงหน้าประตูรวดเร็วเพียงนี้”
อสูรสีดำยืนอยู่ตรงหน้าอี้ฝาน ในขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ศีรษะของมันบิดเบี้ยวไปมา รูม่านตาสีแดงขนาดใหญ่เบิกกว้าง
เวลานี้มันจับจ้องอี้ฝาน ก่อนที่ร่างกายจะสั่นสะท้าน
“เป็นเจ้าเองรึ… !!”
มันกรีดร้องออกมา และอสูรรีบถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็ว มันหลบซ่อนตัวในความมืดอีกครั้ง อี้ฝานสัมผัสได้ว่าเหมือนมันจะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“เจ้ารู้จักข้า?”
จากนั้นอี้ฝานจึงตื่นขึ้นจากความสับสน เขาเตรียมพร้อมตั้งรับการต่อสู้ก่อนจะถามออกไป
“หืม? เจ้าจำข้าไม่ได้งั้นหรือ?”
ทันใดนั้นอสูรในความมืดพลันปรากฏตัวอีกครั้ง มันจับจ้องอี้ฝานอย่างระมัดระวังอยู่นาน
“โอ้ ดูเหมือนความแข็งแกร่งปัจจุบันของเจ้าจะอ่อนแอลงมาก… อ๊ะ เจ้าความจำเสื่อมงั้นหรือ? โอ้ เป็นเช่นนี้นี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า สวรรค์คงจะปรานีข้าผู้นี้แล้ว!”
หลังจากตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอี้ฝานแล้ว อสูรจึงก้าวออกมาอีกครั้ง มันก้มศีรษะลงต่ำมองอี้ฝานด้วยแววตาละโมบ
“หึ บัดซบ! ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเราสองคนจะมาลงเอยในสภาพเช่นนี้!”
อสูรเดินวนไปรอบ ๆ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะราวกับกำลังชื่นชมผลงานชิ้นเอก
“ข้ามาที่นี่… เพื่อตามหาความทรงจำที่หายไป สุดท้ายแล้วข้าก็ยังอยากทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าคือใคร”
อี้ฝานสัมผัสด้ามกระบี่ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาอสูรร่างยักษ์ตัวต่อตัว
“คงจะดีหากเจ้าบอกกล่าวกับข้า… ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรู ข้าเพียงต้องการทราบนามเดิมที่แท้จริงของตัวเอง”
“นามเดิม? ตอนนั้นเจ้ามีชื่อด้วยงั้นหรือ?”
อสูรหัวเราะร่า
“เจ้าเป็นเพียงเครื่องมือ ผู้พิชิต นักรบแห่งรุ่งอรุณ ผู้นำความรุ่งโรจน์ นั่นคือสิ่งที่ผู้อื่นเรียกขานเจ้า ส่วนข้าผู้นี้คือศัตรูตัวฉกาจของเจ้า เพราะข้าคือความมืด ความชั่วร้าย รัตติกาลที่ลึกที่สุด! ข้าคือจอมเทพอสูร!”
อสูรร่างใหญ่หยุดชั่วคราวก่อนจะกล่าวต่อ
“เจ้าทราบหรือไม่ เจ้าและข้านั้นเป็นศัตรูคนละฟากฝั่ง เป็นศัตรูที่ไม่มีวันจะผูกมิตรได้ แล้วเจ้าคิดว่าข้าอยากจะเชื่อคำพล่ามไร้สาระของเจ้างั้นหรือ?”
“นักรบแห่งรุ่นอรุณคืออะไร?”
อี้ฝานขมวดคิ้ว
“สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย แต่ข้าอยากเข้าใจว่าทำไมข้าจึงต้องไปนอนอยู่ในสุสานแห่งนั้น”
“สุสาน… อะไร? เจ้ามิได้ปกครองยุคนี้หรือไร?”
อสูรร่างใหญ่ยื่นนิ้วออกมาสัมผัสศพของเทพผู้ดูแลยมโลกบนไม้เท้ากระดูกแผ่วเบา ศพของเทพผู้ดูแลยมโลกคนก่อนกระตุก ก่อนที่อสูรตนนี้จะระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“ผลงานชิ้นเอก! ผลงานชิ้นโบว์แดง! มีเรื่องยอดเยี่ยมเช่นนี้เกิดขึ้น!”
จอมเทพอสูรร่างใหญ่ปรบมือพร้อมหัวเราะ
“คงต้องบอกกล่าวแล้ว เจ้ามนุษย์เอ๋ย บางครั้งพวกเจ้าก็ยังสามารถกระทำบางสิ่งที่อสูรเช่นพวกเราถึงกับตกตะลึง!”
มันหัวเราะอยู่นาน และเวลานี้อี้ฝานจับจ้องมันด้วยสีหน้าสับสน
“แน่นอน แม้เจ้าจะทราบถึงความจริงในเวลานี้ แต่เจ้าคงไม่อยากเป็นศัตรูกับข้าอีกต่อไป”
จอมเทพอสูรสีดำเหลือบมองอี้ฝานจากที่สูง
“ให้ข้าบอกเจ้าเองว่าเจ้าเป็นผู้ใดและข้าเป็นผู้ใด และคนตายตรงนี้คือใคร”
“อยากพูดคุยกันสักหน่อยหรือไม่เล่า?”
อี้ฝานรู้สึกสะเทือนใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอสูรระดับสูงผู้นี้ไม่คิดจะต่อสู้กับเขา และเป็นจอมเทพอสูรที่คิดอยากพูดคุยก่อน
เขาละมือจากด้ามกระบี่ เดินตรงไปด้านหน้าของอสูรร่างใหญ่และนั่งขัดสมาธิ
“อ่า… ข้ามีความสุขมากที่ได้เห็นเช่นนี้”
ปากขนาดใหญ่มากด้วยฟันคมปลาบปรากฏขึ้นบนศีรษะของอสูร มันช่างเป็นส่วนโค้งเว้าที่แสนน่าสะพรึง
“แล้วหลังจากที่เจ้าทราบเรื่องราวทั้งหมด เจ้าจะเป็นผู้ช่วยเหลือให้ข้าบรรลุสิ่งที่ต้องการ!”